![]() |
1) การบริหารงานป่าไม้ยุคใหม่ต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลทางวิชาการ งานป่าไม้ต้องมีฐานข้อมูลที่ ถูกต้องตรงกันทุกหน่วยงานเพื่อนำข้อมูลไปใช้ร่วมกัน การบริหารงานป่าไม้ในแต่ละภูมิภาคไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน เพราะแต่ละภูมิภาคมีพื้นที่ป่าไม่เท่ากัน เช่น ภาคเหนือควรมีพื้นที่ป่ามากที่สุดเพราะเป็นพื้นที่สูงและเป็นแหล่งต้น น้ำลำธารซึ่งควรมากกว่า 40% ของพื้นที่ภูมิภาค ส่วนภาคอื่นๆ อาจจะไม่จำเป็นต้องมีถึง 40% ของพื้นที่ในแต่ละภูมิภาค แต่เมื่อรวมกันแล้วก็ควรไมต่ำกว่า 40% ของทั้งประเทศ หรือการบริหารจัดการป่าอาจจะ
บริหารจัดการ ตามลุ่มน้ำหลักของประเทศก็อาจจะเป็นอีกแนวทางหนึ่ง มากไปกว่านั้นการบริหารงานป่าไม้ที่มีศักยภาพจริงต้อง สามารถตัดฟันไม้ยืนต้นมาใช้ประโยชน์ได้ภายใต้หลักการอนุรักษ์และการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้การปิดสัมปทานป่ามิใช่แนวทางการบริหารงานป่าไม้ที่เหมาะสม หลายประเทศยังมีการทำไม้อยู่แต่จะเน้นไปที่ป่าเอกชน ดังนั้นประเทศไทยก็ควรต้องเพิ่มพื้นที่ป่าเอกชนแต่รัฐต้องปฏิรูปกฎหมายป่าไม้ก่อนเพื่อสร้างบรรยากาศให้ ภาคเอกชนเข้ามาลงทุน
2) ควรต้องปฏิรูปกฎหมายป่าไม้เป็นอันดับแรก เนื่องจากกฎหมายไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ได้มีการปรับปรุงกฎหมายมาเป็นระยะเวลานานแล้ว แนวทางการปฎิรูป เช่น ควรมีการออกกฎหมายป่าชุมชน เพื่อให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการป่าไม้ ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อการใช้ประโยชน์ ส่งเสริมการ ปลูกไม้ป่าและไม้ยืนต้นในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ กำหนดนโยบายการบริหารงานป่าไม้ตามลักษณะทางภูมิศาสตร์ ของแต่ละภูมิภาค จัดทำนโยบายป่าไม้แห่งชาติโดยใช้ข้อมูลจากงานวิจัยทั้งด้านวิทยาศาสตร์ สังคม และนโยบาย ในการกำหนดนโยบาย ตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ที่ดินในพื้นที่ป่า นอกจากนี้ ควรมีการยกเลิกกฎหมายที่ส่งผลกระทบ ต่อประชาชน เช่น พ.ร.บ. สวนป่า พ.ร.บ.เลื่อยโซ่ยนต์ ยกเลิกไม้หวงห้ามใน พ.ร.บ. ป่าไม้ 2487 และออกกฎหมาย พร้อมบทลงโทษอย่างรุนแรงสำหรับผู้กระทำผิดในพื้นที่ป่าของรัฐตลอดทั้งเพิ่มบุคลากรและอุปกรณ์ให้เจ้าหน้าที่เพื่อดูแลรักษาพื้นที่ป่าของรัฐไว้ให้ได้ที่สำคัญหารมีการปฏิรูปกฎหมายป่าไม้ต้องคำนึงเศรษฐกิจกิจ และความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นสำคัญ มากไปกว่านั้นประเด็นที่สำคัญมากของกฎหมายป่าไม้คือกฎหมายป่าไม้หลาย ฉบับเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนั้น จึงควรมีการปฏิรูปอย่างเร่วด่วน
3) การบริหารงานป่าไม้ยุคใหม่ ประชาชนต้องเป็นใหญ่หรือประชาชนต้องมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งนี้แนวทางการบริหารต้องหาวิธีการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลรักษา และจัดการป่า เพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่มีอยู่เพียง 20,000 คน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดูแลป่าที่มีอยู่ถึง ประมาณ 110 ล้านไร่อย่างแน่นอน แต่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในและรายรอบป่ามีอยู่ถึง 30% ของจ านวนประชากร ทั้งประเทศ หรือประมาณ 20 ล้านคน คนกลุ่มนี้ถ้ารัฐบาลมีแผนและนโยบายที่ดีก็สามารถดึงเข้ามาเป็นผู้ร่วมดูแล รักษาป่า รัฐบาลจะประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการป่า
4) จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ สถาบันวิจัยป่าไม้แห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องกับการป่าไม้โดยเฉพาะ เพื่อทำการกำหนดนโยบายการป่าไม้ ศึกษาวิจัยและติดตามประเมินผลงานด้าน การป่าไม้ให้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การมีหน่วยงานเฉพาะจะช่วยให้สามารถแก้ปัญหาได้ตรงกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น ได้อย่างตรงประเด็น และรวดเร็วขึ้น
5) จัดการองค์กรและบุคลากรให้มีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ เพราะเนื่องจากในปัจจุบัน เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ มีความทันสมัยมากแต่ทำงานแย่ลงแสดงว่าปัญหาอยู่ที่บุคลากร นั่นคือปัญหาของงาน ทางด้านป่าไม้ที่พบส่วนใหญ่มักเป็นการทำงานของบุคลากรที่ไม่โปร่งใสมีการทุจริตตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน การเข้าทำงาน และการทำงานที่แสวงหาผลประโยชน์กับเงินงบประมาณแผ่นดินหรือภาษีของประชาชนซึ่งแตกต่างกับใน อดีตที่หาผลประโยชน์กับเงินนอกงบประมาณ ตลอดทั้งการซื้อขายตำแหน่งในการแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารภายใน หน่วยงาน และที่แย่ไปกว่านั้นคือการที่มีข่าวว่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้นำที่ดินป่าไม้ไปขายเพื่อหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง นอกจากนี้ควรมีการจัดตั้งหน่วยงานด้านการป่าไม้ระดับจังหวัด และ/หรือระดับอำเภอด้วย เพื่อให้มีนักวิชาการ ป่าไม้คอยอำนวยความสะดวกและช่วยเหลือประชาชนในระดับท้องถิ่น และเพื่อให้สามารถทำงานและประสานงาน ระหว่างองค์กรได้สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น มากไปกว่านั้นควรสนับสนุนให้มีนักวิชาการป่าไม้ประจำในแต่ละ องค์การบริหารส่วนตำบล และ/หรือ เทศบาล ทั่วประเทศที่อยู่รอบๆ ป่า
6) การยุบหรือรวม กรมป่าไม้ กับ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และ พันธุ์พืช และ/ หรือ กรมทรัพยากร ทางทะเลและชายฝั่ง นั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย กล่าวคือ กรณีรวมกรมเป็นการรวมอำนาจมากเกินไปแต่ข้อดีคือจะสามารถทำให้การบริหารงานด้านป่าเบ็ดเสร็จได้ที่หน่วยงานเดียวและยังมีบุคลากรที่เพียงพอจะไปทำงานรับใช้ ประชาชนในระดับจังหวัดและอำเภอ กรณีแยกกรมจะมีข้อดีที่ทำให้งานด้านป่าไม้ งานด้านอุทยาน และงานด้านสัตว์ป่า มีการแยกออกจากกันอย่างชัดเจน และเป็นการกระจายอำนาจให้แต่ละหน่วยงานสามารถรับผิดชอบงาน
ได้อย่างสะดวกรวดเร็วแล้วยังช่วยลดปัญหาคอรัปชั่นให้ลดน้อยลงได้อีกด้วย (จริงหรือไม่) ทั้งนี้ทั้งนั้นควรตั้ง คณะกรรมการบริหารงานกรมที่เป็นอิสระเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาการทุจริตระดับกรมด้วย แต่ อย่างไรก็ตามการแยกกรมในปี พ.ศ. 2546 นั้น ผู้บริหารมองผลประโยชน์อย่างเดียวจึงทำให้วงการป่าไม้เสียหายถึง ทุกวันนี้ ดังนั้น ประเด็นแยกหรือรวมกรมจึงไม่ใช่ปัญหาที่สำคัญเท่ากับการหาแนวทางการบริหารงานให้มี ประสิทธิภาพ
7) เนื่องจากในปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์มากขึ้น รวมทั้งมีบทบาท ต่อการจัดการงานต่างๆ ด้วย ดังนั้น จึงควรนำเทคโนโลยีเข้ามาจัดการงานทางด้านป่าไม้ให้มากขึ้น เช่น การ นำเสนอผลงานด้านป่าไม้ การประยุกต์ใช้ภาพถ่ายทางอากาศหรือภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อจัดการพื้นที่ป่าไม้ อาทิ การตรวจสอบพื้นที่ทับซ้อน การสำรวจลาดตระเวน รวมทั้งการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้านป่าไม้ผ่านทาง Social Media ต่างๆ เป็นต้น
8) งานป่าไม้ยุคใหม่ต้องประยุกต์เครื่องมือทางด้านเศรษฐศาสตร์เข้ามาช่วย เช่น การจ่ายเงินชดเชยเพื่อ การบริการด้านสิ่งแวดล้อม (Payment for Environmental Service) การออกสลาก หรือ ธนบัตร หรือ หุ้น หรือ กองทุนด้านป่าไม้เพื่อนำเงินมาปลูก ดูแล และจัดการป่าให้ยั่งยืน แต่ที่สำคัญในสถานการณ์ปัจจุบันยังทำไม่ได้ กรณีที่จะทำได้ต้องมีการปฏิรูปกฎหมายป่าไม้ก่อนเป็นอันดับแรก
9) ออกมาตรการที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจัดการที่ดินและแนวเขตพื้นที่ป่า ออกมาตรการในการจัดการคน กรณีที่เป็นคนยากจนควรต้องดูแลและให้โอกาสอย่างไร แต่กรณีที่เป็นนายทุนที่บุกรุกป่าต้องจัดการด้านกฎหมาย อย่างเด็ดขาด หรือกรณีบริษัทเอกชนที่เข้าไปส่งเสริมปลูกพืชเกษตรโดยไม่รับผิดชอบว่าเกษตรกรจะน าพืชเกษตร เหล่านั้นไปปลูกในพื้นที่เอกสารสิทธิ์หรือบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อปลูก ดังนั้น ควรหามาตรการในการยับยั้งเช่น ผลักดัน ให้ต่างประเทศไม่รับซื้อผลผลิตการเกษตรที่ปลูกในพื้นที่ป่า เป็นต้น
10) ในวันที่ 12 มิถุนายน 2557 ที่ผ่านมา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า งานป่าไม้ต้อง กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ นั่นแสดงว่างานป่าไม้มีความสำคัญมาก หรือ มีปัญหามาก จึงต้องเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งสอดคล้องกับเหตุการณ์ในอดีตสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ท่านก็กล่าวไว้ว่า “ผู้ใดทำลายป่า ผู้นั้นคือผู้บ่อนทำลายชาติ”
ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น