วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สรุปผลการเสวนา “แนวทางการบริหารงานป่าไม้ยุคใหม่”

                         

      สืบเนื่องจากวันพฤหัสบดีที่  3  กรกฎาคม  2557  ที่ผ่านมา  ศูนย์วิจัยป่าไม้  คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พร้อมด้วย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้มีเกียรติจากทุกภาคส่วน ได้ร่วมกันเสวนาเพื่อหา แนวทางในการบริหารงานป่าไม้ยุคใหม่ โดยมีประเด็นสำคัญและบทสรุป 10 ข้อ ดังนี้
1)  การบริหารงานป่าไม้ยุคใหม่ต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลทางวิชาการ  งานป่าไม้ต้องมีฐานข้อมูลที่ ถูกต้องตรงกันทุกหน่วยงานเพื่อนำข้อมูลไปใช้ร่วมกัน การบริหารงานป่าไม้ในแต่ละภูมิภาคไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน เพราะแต่ละภูมิภาคมีพื้นที่ป่าไม่เท่ากัน  เช่น  ภาคเหนือควรมีพื้นที่ป่ามากที่สุดเพราะเป็นพื้นที่สูงและเป็นแหล่งต้น น้ำลำธารซึ่งควรมากกว่า  40%  ของพื้นที่ภูมิภาค  ส่วนภาคอื่นๆ  อาจจะไม่จำเป็นต้องมีถึง  40%  ของพื้นที่ในแต่ละภูมิภาค  แต่เมื่อรวมกันแล้วก็ควรไมต่ำกว่า  40%  ของทั้งประเทศ  หรือการบริหารจัดการป่าอาจจะ
บริหารจัดการ ตามลุ่มน้ำหลักของประเทศก็อาจจะเป็นอีกแนวทางหนึ่ง  มากไปกว่านั้นการบริหารงานป่าไม้ที่มีศักยภาพจริงต้อง สามารถตัดฟันไม้ยืนต้นมาใช้ประโยชน์ได้ภายใต้หลักการอนุรักษ์และการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน  ทั้งนี้การปิดสัมปทานป่ามิใช่แนวทางการบริหารงานป่าไม้ที่เหมาะสม  หลายประเทศยังมีการทำไม้อยู่แต่จะเน้นไปที่ป่าเอกชน ดังนั้นประเทศไทยก็ควรต้องเพิ่มพื้นที่ป่าเอกชนแต่รัฐต้องปฏิรูปกฎหมายป่าไม้ก่อนเพื่อสร้างบรรยากาศให้ ภาคเอกชนเข้ามาลงทุน

 2)  ควรต้องปฏิรูปกฎหมายป่าไม้เป็นอันดับแรก  เนื่องจากกฎหมายไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ได้มีการปรับปรุงกฎหมายมาเป็นระยะเวลานานแล้ว  แนวทางการปฎิรูป  เช่น  ควรมีการออกกฎหมายป่าชุมชน เพื่อให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการป่าไม้ ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อการใช้ประโยชน์ ส่งเสริมการ ปลูกไม้ป่าและไม้ยืนต้นในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์  กำหนดนโยบายการบริหารงานป่าไม้ตามลักษณะทางภูมิศาสตร์ ของแต่ละภูมิภาค  จัดทำนโยบายป่าไม้แห่งชาติโดยใช้ข้อมูลจากงานวิจัยทั้งด้านวิทยาศาสตร์  สังคม  และนโยบาย ในการกำหนดนโยบาย ตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ที่ดินในพื้นที่ป่า นอกจากนี้ ควรมีการยกเลิกกฎหมายที่ส่งผลกระทบ ต่อประชาชน เช่น พ.ร.บ. สวนป่า พ.ร.บ.เลื่อยโซ่ยนต์ ยกเลิกไม้หวงห้ามใน พ.ร.บ. ป่าไม้ 2487 และออกกฎหมาย พร้อมบทลงโทษอย่างรุนแรงสำหรับผู้กระทำผิดในพื้นที่ป่าของรัฐตลอดทั้งเพิ่มบุคลากรและอุปกรณ์ให้เจ้าหน้าที่เพื่อดูแลรักษาพื้นที่ป่าของรัฐไว้ให้ได้ที่สำคัญหารมีการปฏิรูปกฎหมายป่าไม้ต้องคำนึงเศรษฐกิจกิจ และความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นสำคัญ  มากไปกว่านั้นประเด็นที่สำคัญมากของกฎหมายป่าไม้คือกฎหมายป่าไม้หลาย ฉบับเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนั้น จึงควรมีการปฏิรูปอย่างเร่วด่วน

3)  การบริหารงานป่าไม้ยุคใหม่  ประชาชนต้องเป็นใหญ่หรือประชาชนต้องมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง  ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  ทั้งนี้แนวทางการบริหารต้องหาวิธีการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลรักษา  และจัดการป่า  เพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่มีอยู่เพียง  20,000  คน  ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดูแลป่าที่มีอยู่ถึง ประมาณ  110  ล้านไร่อย่างแน่นอน  แต่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในและรายรอบป่ามีอยู่ถึง  30%  ของจ านวนประชากร ทั้งประเทศ  หรือประมาณ  20  ล้านคน  คนกลุ่มนี้ถ้ารัฐบาลมีแผนและนโยบายที่ดีก็สามารถดึงเข้ามาเป็นผู้ร่วมดูแล รักษาป่า รัฐบาลจะประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการป่า

 4)  จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ  สถาบันวิจัยป่าไม้แห่งชาติ  ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องกับการป่าไม้โดยเฉพาะ  เพื่อทำการกำหนดนโยบายการป่าไม้  ศึกษาวิจัยและติดตามประเมินผลงานด้าน การป่าไม้ให้อย่างต่อเนื่อง  ทั้งนี้  การมีหน่วยงานเฉพาะจะช่วยให้สามารถแก้ปัญหาได้ตรงกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น ได้อย่างตรงประเด็น และรวดเร็วขึ้น

5)  จัดการองค์กรและบุคลากรให้มีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้  เพราะเนื่องจากในปัจจุบัน เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ  มีความทันสมัยมากแต่ทำงานแย่ลงแสดงว่าปัญหาอยู่ที่บุคลากร  นั่นคือปัญหาของงาน ทางด้านป่าไม้ที่พบส่วนใหญ่มักเป็นการทำงานของบุคลากรที่ไม่โปร่งใสมีการทุจริตตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน  การเข้าทำงาน  และการทำงานที่แสวงหาผลประโยชน์กับเงินงบประมาณแผ่นดินหรือภาษีของประชาชนซึ่งแตกต่างกับใน อดีตที่หาผลประโยชน์กับเงินนอกงบประมาณ  ตลอดทั้งการซื้อขายตำแหน่งในการแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารภายใน หน่วยงาน  และที่แย่ไปกว่านั้นคือการที่มีข่าวว่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้นำที่ดินป่าไม้ไปขายเพื่อหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง นอกจากนี้ควรมีการจัดตั้งหน่วยงานด้านการป่าไม้ระดับจังหวัด  และ/หรือระดับอำเภอด้วย  เพื่อให้มีนักวิชาการ ป่าไม้คอยอำนวยความสะดวกและช่วยเหลือประชาชนในระดับท้องถิ่น และเพื่อให้สามารถทำงานและประสานงาน ระหว่างองค์กรได้สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น  มากไปกว่านั้นควรสนับสนุนให้มีนักวิชาการป่าไม้ประจำในแต่ละ องค์การบริหารส่วนตำบล และ/หรือ เทศบาล ทั่วประเทศที่อยู่รอบๆ ป่า

6)  การยุบหรือรวม กรมป่าไม้ กับ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และ พันธุ์พืช และ/ หรือ กรมทรัพยากร ทางทะเลและชายฝั่ง  นั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย  กล่าวคือ  กรณีรวมกรมเป็นการรวมอำนาจมากเกินไปแต่ข้อดีคือจะสามารถทำให้การบริหารงานด้านป่าเบ็ดเสร็จได้ที่หน่วยงานเดียวและยังมีบุคลากรที่เพียงพอจะไปทำงานรับใช้ ประชาชนในระดับจังหวัดและอำเภอ  กรณีแยกกรมจะมีข้อดีที่ทำให้งานด้านป่าไม้  งานด้านอุทยาน  และงานด้านสัตว์ป่า  มีการแยกออกจากกันอย่างชัดเจน  และเป็นการกระจายอำนาจให้แต่ละหน่วยงานสามารถรับผิดชอบงาน
ได้อย่างสะดวกรวดเร็วแล้วยังช่วยลดปัญหาคอรัปชั่นให้ลดน้อยลงได้อีกด้วย  (จริงหรือไม่)  ทั้งนี้ทั้งนั้นควรตั้ง คณะกรรมการบริหารงานกรมที่เป็นอิสระเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาการทุจริตระดับกรมด้วย  แต่ อย่างไรก็ตามการแยกกรมในปี พ.ศ. 2546 นั้น ผู้บริหารมองผลประโยชน์อย่างเดียวจึงทำให้วงการป่าไม้เสียหายถึง ทุกวันนี้  ดังนั้น  ประเด็นแยกหรือรวมกรมจึงไม่ใช่ปัญหาที่สำคัญเท่ากับการหาแนวทางการบริหารงานให้มี ประสิทธิภาพ

7)  เนื่องจากในปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์มากขึ้น  รวมทั้งมีบทบาท ต่อการจัดการงานต่างๆ  ด้วย  ดังนั้น  จึงควรนำเทคโนโลยีเข้ามาจัดการงานทางด้านป่าไม้ให้มากขึ้น  เช่น  การ นำเสนอผลงานด้านป่าไม้  การประยุกต์ใช้ภาพถ่ายทางอากาศหรือภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อจัดการพื้นที่ป่าไม้  อาทิ การตรวจสอบพื้นที่ทับซ้อน  การสำรวจลาดตระเวน  รวมทั้งการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้านป่าไม้ผ่านทาง  Social Media ต่างๆ เป็นต้น

8)  งานป่าไม้ยุคใหม่ต้องประยุกต์เครื่องมือทางด้านเศรษฐศาสตร์เข้ามาช่วย  เช่น  การจ่ายเงินชดเชยเพื่อ การบริการด้านสิ่งแวดล้อม  (Payment  for  Environmental  Service)    การออกสลาก  หรือ  ธนบัตร  หรือ  หุ้น หรือ กองทุนด้านป่าไม้เพื่อนำเงินมาปลูก ดูแล และจัดการป่าให้ยั่งยืน แต่ที่สำคัญในสถานการณ์ปัจจุบันยังทำไม่ได้ กรณีที่จะทำได้ต้องมีการปฏิรูปกฎหมายป่าไม้ก่อนเป็นอันดับแรก

9)  ออกมาตรการที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจัดการที่ดินและแนวเขตพื้นที่ป่า  ออกมาตรการในการจัดการคน กรณีที่เป็นคนยากจนควรต้องดูแลและให้โอกาสอย่างไร  แต่กรณีที่เป็นนายทุนที่บุกรุกป่าต้องจัดการด้านกฎหมาย อย่างเด็ดขาด  หรือกรณีบริษัทเอกชนที่เข้าไปส่งเสริมปลูกพืชเกษตรโดยไม่รับผิดชอบว่าเกษตรกรจะน าพืชเกษตร เหล่านั้นไปปลูกในพื้นที่เอกสารสิทธิ์หรือบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อปลูก  ดังนั้น  ควรหามาตรการในการยับยั้งเช่น  ผลักดัน ให้ต่างประเทศไม่รับซื้อผลผลิตการเกษตรที่ปลูกในพื้นที่ป่า เป็นต้น

10) ในวันที่  12  มิถุนายน  2557  ที่ผ่านมา  คณะรักษาความสงบแห่งชาติ  (คสช.)  กล่าวว่า  งานป่าไม้ต้อง กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ  นั่นแสดงว่างานป่าไม้มีความสำคัญมาก  หรือ  มีปัญหามาก  จึงต้องเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งสอดคล้องกับเหตุการณ์ในอดีตสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ท่านก็กล่าวไว้ว่า “ผู้ใดทำลายป่า ผู้นั้นคือผู้บ่อนทำลายชาติ”











ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยป่าไม้  คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ไม่มีความคิดเห็น:

โพสต์แนะนำ

พบเห็น !! การบุกรุกตัดไม้ทำลายป่า โปรดแจ้งสายด่วน ชุด ฉก.พญาเสือ โทร. 097-281-6363

พบเห็นการบุกรุกตัดไม้ทำลายป่า โปรดแจ้งสายด่วน  ชุดเฉพาะกิจปฏิบัติการพิเศษผู้พิทักษ์อุ...