วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ชุดพยัคฆ์ไพร! จับ 2 พนักงานราชการ จนท.หน่วยป้องกันรักษาป่าฯ กรมป่าไม้ ฐานร่วมขบวนการขายไม้ของกลาง

“เกลือเป็นหนอน” อยู่เวรยามอ้างหลับ เปิดทางขนไม้พะยูงของกลาง
กรมป่าไม้ โดยชุดพยัคฆ์ไพร ร่วมกับ บก.ปทส,ตำรวจภูธรภาค3 จัดหนัก “เเก๊งขโมยไม้ของกลาง พบตัวการเป็น 2 เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยป่าไม้ที่ยโสธร ทำทีออกตรวจเวรยาม เปิดทางขบวนการ เอารถกระบะเข้ามาขนออกไปขาย มูลค่านับล้านบาท



 จากกรณีไม้ของกลางของหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ยส.2 (โพนงาม-ดงปอ) หมู่ที่ 3 ต.น้ำสร้าง อ.กุดชุม จ.ยโสธร สูญหายอย่างมีเงื่อนงำ และตามนโยบายข้อสั่งการ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ล่าสุด นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า (ศปก.พป.) สั่งการให้ นายชีวะภาพ ชีวะธรรม ผู้อำนวยการสำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า กรมป่าไม้ นำทีมพยัคฆ์ไพร ประสานหน่วยตำรวจ เร่งรัดขยายผลตรวจสอบข้อเท็จจริง และติดตามดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง
จากการสืบสวนพบว่า ไม้พะยูงของ กลางในคดี สูญหายจำนวน 33 ท่อน/เหลี่ยม ปริมาตร 2.90 ลูกบาศก์เมตร (มูลค่าความเสียหายภาครัฐ 1,160,000 บาท) สืบสวนสอบสวนจนทราบถึงกลุ่มขบวนการ โดยมีข้อมูลชัดเจนว่ามีเจ้าหน้าที่ของหน่วยป้องกันรักษาป่า (ยส2) มีส่วนรู้เห็นและเกี่ยวข้อง ประกอบด้วย
1.นายสุระศักดิ์ ชื่นตา ตำแหน่งผู้ช่วยพนักงานพิทักษ์ป่า (พนักงานราชการ)
2.นายสุพัฒน์ แก้วอ่อน ตำแหน่งผู้ช่วยพนักงานพิทักษ์ป่า (พนักงานราชการ)
การตรวจสอบพบข้อมูลชัดเจนว่า ไม้พะยูงของกลางหายไปช่วง ตั้งแต่เวลา 00.30-03.00 น ของวันที่ 21 กันยายน 2562 เป็นช่วงที่เวลาเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 นายปฎิบัติงานเวรยาม แต่จากการตรวจสอบการรายงานพบว่า ทั้งสองได้เตรียมถ่ายภาพ ที่มีรูปกองไม้ที่หายไปและรูปของทั้ง2นาย โดยถ่ายเก็บไว้หลายๆภาพ และนำมาประกอบการรายงานช่วงที่คาดว่าไม้หายตั้งแต่ 00.30, 02.06,04.00,และ06.00น ต่อเนื่องกันถึง 4 ครั้ง ติดต่อกัน โดยรายงานว่าสถานการณ์ปกติ ทั้งที่ขณะนั้นสถานการณ์ไม่ปกติ


โดยมีพยานบุคคลที่เชื่อถือได้หลายปากให้การตรงกันว่า พบเห็นรถยนต์ปิคอัพต้องสงสัย วิ่งเข้ามาในหน่วยพร้อมกลุ่มผู้ชายหลายคน ช่วยกันขนไม้พะยูงของกลาง โดยได้ยินเสียงชัดว่ามีการขนไม้ออกจากหน่วยๆช่วงเวลา 00.30-03.00น
พยานให้การว่ามีการเปิดเพลงเสียงดัง จนทำให้เข้าใจว่ามีงานเลี้ยง หรือมีการไปตรวจยึดจับไม้มาด้วยซ้ำ แต่เจ้าหน้าที่ทั้ง 2 นาย กลับให้การยืนยันว่าไม่ได้ยินอะไรและอ้างว่าหลับไป ซึ่งคณะเจ้าหน้าที่ขยายผลตรวจสอบพบเป็นการวางแผนการมาเป็นอย่างดี เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มขบวนการลักลอบเข้ามาขโมยไม้พะยูงของกลาง




เบื้องต้นทำรายงานส่งให้หน่วยงานต้นสังกัดพิจารณาลงโทษทางวินัยสถานหนักเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง เเละได้เเจ้งดำเนินคดีฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี หรือปรับตั้ง แต่ 2,000 - 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบัง ทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ต้องระวางจำคุก ตั้งแต่ 5 - 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 100,000 - 400,000 บาท
ส่วนการขยายผล พยัคฆ์ไพรยังคงเกาะติด กลุ่มขบวนการที่เป็นบุคคลภายนอกอยู่ โดยมีข้อมูลว่าไม้ของกลางดังกล่าวยังคงถูกกลุ่มขบวนการเก็บซุกซ่อนอยู่ในท้องที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งคณะเจ้าหน้าที่กำลังขยายผลต่อกลุ่มขบวนการให้ถึงที่สุดต่อไป พร้อมเเจ้งเตือน เจ้าหน้าที่คนใดหน่วยใด ยังไม่หยุดพฤติกรรมลักษณะนี้ เตรียมพบกันเร็ว ๆนี้
ที่มา.. นายชีวะภาพ ชีวะธรรม ผอ.สปฟ.

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2562

อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ แจ้งเวียนให้หน่วยในสังกัด เร่งประชุมชี้แจง เพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของราษฎรและที่อยู่อาศัยในเขตป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศ

“อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ แจ้งเวียนให้หน่วยในสังกัด เร่งประชุมชี้แจง เพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของราษฎรและที่อยู่อาศัยในเขตป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศ”

วันนี้ (12 ก.ย.62) นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้มีการแจ้งเวียนข้อความทางแอพพลิเคชั่นไลน์ของผู้บริหารกรมอุทยานฯ ให้หน่วยในสังกัด เร่งประชุมชี้แจง เพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของราษฎรและที่อยู่อาศัยในเขตป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 

“เรียน ผอ.สบอ.1-16 และ ผอ.สำนักสาขา ทุกสาขา

ด้วยในปัจจุบันกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้กำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาพื้นที่อยู่อาศัยทำกินของราษฎรในเขตป่าอนุรักษ์ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งเห็นชอบในหลักการตามมติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2561 ในพื้นที่เป้าหมายและกรอบมาตรการแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่าไม้ (ทุกประเภท) โดยราษฎรผู้อยู่อาศัยในเขตป่าอนุรักษ์ ก่อนและหลังมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 ให้มีการสำรวจเตรียมความพร้อมของชุมชน ก่อนที่จะมีการดำเนินการอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ได้ตามกฎหมาย ภายหลังที่พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับ เพื่อให้สามารถอนุญาตให้ราษฎรอยู่อาศัยและใช้ประโยชน์อย่างเกื้อกูลธรรมชาติ ภายในเขตป่าอนุรักษ์ได้อย่างสมบูรณ์และยั่งยืน

ดังนั้น เพื่อให้นโยบายการแก้ไขปัญหาพื้นที่อยู่อาศัยทำกินของราษฎรในเขตป่าอนุรักษ์ มุ่งไปสู่การปฏิบัติเป็นรูปธรรมได้อย่างแท้จริง จึงขอให้สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ทุกแห่ง สั่งการให้หัวหน้าหน่วยงานภาคสนามในสังกัด ได้นำรูปแบบการประชุมชี้แจงทำความเข้าใจกับราษฎรในพื้นที่ ดังตัวอย่างของอุทยานแห่งชาติศรีลานนา จังหวัดเชียงใหม่ สำหรับชี้แจงให้ราษฎรและประชาชนโดยทั่วไป ได้รับรู้ รับทราบ ถึงนโยบายต่างๆของรัฐบาล เพื่อเป็นการลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับราษฎร พร้อมทั้งขอให้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ไปยังสื่อสารมวลชนต่างๆในพื้นที่ให้มากที่สุด แล้วรายงานผลให้ทราบทางกลุ่มไลน์ผู้บริหารนี้ ต่อไป”

จึงเรียนมาเพื่อทราบและดำเนินการ
นายธัญญา เนติธรรมกุล
อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช








วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ป่าไม้-ทหารยึดสวนยาง 2,600 ไร่ จากผู้บุกรุกในพื้นที่เพชรบูรณ์



ชุดปฏิบัติการ ศปป.4 กอ.รมน. บูรณาการหน่วยงานเพื่อป้องกัน และปราบปรามการบุกรุกพื้นที่ตัดไม้ทำลายป่า ร่วมกับชุดพยัคฆ์ไพร กรมป่าไม้ ในพื้นที่ อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ หลังพบข้อมูลมีนายทุนนอกพื้นที่เข้ามาบุกรุกปลูกยางพารา สวนทุเรียน ในพื้นที่ป่าต้นน้ำเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยทิน และป่าคลองตีบ ขณะเดียวกันเตรียมเปิดยุทธการทวงคืนผืนป่าใน จ.เพชรบูรณ์



พ.อ.พงษ์เพชร เกษสุภะ หัวหน้าชุดปฏิบัติการศปป.4 กอ.รมน.ร่วมกับ นายนฤพนธ์ ทิพย์มณฑา หัวหน้าชุดพยัคฆ์ไพร กรมป่าไม้ นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดพยัคฆ์ไพรผ,ทหารกองร้อยรักษาความสงบที่ 2 ม.3 พัน 13 จังหวัดเพชรบูรณ์, เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ปูพรมเข้าจับกุมดำเนินคดีเป้าหมาย 2 จุด ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยทินและป่าคลองตีบ ท้องที่อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์



หลังจากตรวจสอบพบข้อมูลมีนายทุนนอกพื้นที่เข้ามาบุกรุกปลูกยางพารา สวนทุเรียนในพื้นที่ป่าต้นน้ำ ดังนี้จุดแรกเจ้าหน้าที่นำกำลังเข้าตรวจสอบแปลงปลูกสวนทุเรียนเนื้อที่ 24 - 1 - 32 ไร่ คิดค่าเสียหายของรัฐเป็นเงิน 1,654,440.-บาท พบคนงาน 5 คนกำลังฉีดยาฆ่าหญ้าในแปลงทุเรียน เจ้าหน้าที่จึงเชิญตัวมาให้ข้อมูล จากการสอบถามให้การว่าเป็นเพียงคนงาน มารับจ้างให้เจ้าของชื่อสุรชัย ซึ่งขณะตรวจสอบโดยรอบอย่างละเอียด นายสุรชัย ได้เดินทางเข้ามาให้ข้อมูล โดยระบุว่า พื้นที่แปลงทุเรียนทั้งหมดเป็นของ เจ๊กุ้ง นายทุนจาก จ.สุราษฎร์ธานี โดยให้ตนเป็นคนดูแลและให้การเป็นประโยชน์ เจ้าหน้าที่จึงได้บันทึกตรวจยึด นำส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรหนองไผ่ เพื่อดำเนินคดีนายทุน และบุคคลที่เกี่ยวข้องตาม ปจว.ข้อ 1 เวลา 00.30 คดีอาญาที่ 74/2562 ลงวันที่ 9 มิ.ย.2562 ต่อมาคณะเจ้าหน้าที่ร่วมกันเข้าตรวจสอบแปลงยางพาราที่เคยดำเนินคดีตรวจยึดเมื่อปี 2559 เนื้อที่ 640 ไร่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการรื้อถอนตัดฟันตามมาตรา 25 พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507


จากการตรวจสอบเจ้าหน้าที่พบร่องรอยการทำประโยชน์ในพื้นที่ จึงได้กระจายกำลังเข้าตรวจสอบโดยละเอียด แต่ไม่พบบุคคลใดในพื้นที่ในวันที่ 9 มิ.ย. เวลา 11.00 น. คณะเจ้าหน้าที่ร่วมกันตรวจแปลงยางพารา ในพื้นที่ข้างเคียงอีกกว่า 2,000 ไร่ ท้องที่ หมู่ 12 บ.ผาแดง ต.นายม อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ พบบ้านพักคนงาน 4 หลัง มีร่องรอยผู้อยู่อาศัย จึงเข้าตรวจค้นภายในบ้าน เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม พบอาวุธปืนยาวไทยประดิษฐ์ (ปืนแก๊ป) 2 กระบอก, ปืนลูกซอง 1 กระบอก และเลื่อยโซ่ยนต์ 1 เครื่อง พร้อมอุปกรณ์อีกหลายรายการ แต่ไม่พบผู้อยู่อาศัย นอกจากนี้เจ้าหน้าที่พบร่องรอยการต่อสายวิทยุสื่อสาร พร้อมอุปกรณ์ต่างๆ คาดว่าใช้ติดต่อกัน เมื่อเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบ เพื่อหลบหนีการจับกุม คณะเจ้าหน้าที่จึงจับค่าพิกัดมาคำนวณ และตรวจยึดพื้นที่ 1 แปลง จำนวน 2,656-3-60 ไร่ คิดค่าเสียหายของรัฐเป็นเงิน 181,318,068.- บาทพร้อมตรวจยึดของกลางทั้งหมด นำส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองจ.เพชรบูรณ์ เพื่อเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่ชุดพยัคฆ์ไพร กรมป่าไม้ ได้นำอากาศยานไร้คนขับขึ้นบินสำรวจบริเวณโดยรอบ พบว่ามีการบุกรุกปลูกยางพารา และพืชเกษตรอีกไม่น้อยกว่า 2,000 ไร่ คณะเจ้าหน้าที่เตรียมบูรณาการเปิดยุทธการตรวจยึดพื้นที่จากกลุ่มนายทุนที่เข้ามาบุกรุกพื้นที่ป่าซึ่งเป็นป่าต้นน้ำ พร้อมกับดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ขั้นเด็ดขาด หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง หรือปล่อยปะละเลยให้มีการบุกรุกพื้นที่ป่าด้วย


.


วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2562

"ชุดพญาเสือ สนธิกำลังเจ้าหน้าที่บุกยึดไม้พะยูงภายในบ้านพัก จังหวัดบึงกาฬ หลังเฝ้าติดตามขบวนการลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด "

"ชุดพญาเสือ สนธิกำลังเจ้าหน้าที่บุกยึดไม้พะยูงภายในบ้านพัก จังหวัดบึงกาฬ หลังเฝ้าติดตามขบวนการลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด "

วันนี้ (9 มิ.ย.62) เวลาประมาณ 9.30 น. เจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจปฏิบัติการพิเศษผู้พิทักษ์อุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่า (หน่วยฯ พญาเสือ) ติดตามขบวนการลักลอบตัดไม้พะยูงจากพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ท้องที่อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา คณะพนักงานเจ้าหน้าที่ฯ ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจปฏิบัติการพิเศษผู้พิทักษ์อุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่า (หน่วยพญาเสือ) เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่า ที่ บก.1 (บึงกาฬ) กรมป่าไม้ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติภูลังกา เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปทส.กก. 3 เจ้าหน้าที่หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เขตนครพนม และ นรข.สน.เรือบ้านแพง เจ้าหน้าที่กองร้อยทหารพรานที่ 2107 เจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ 5 ประจำสำนักงานสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามที่ 2 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเจ้าหน้าที่ทหาร ทกย.กกล. สุรศักด์มนตรี ร่วมกันเข้าตรวจสอบบ้านเลขที่ 24 หมู่ที่ 6 บ้านโนนสว่าง ตำบลดงบัง อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ


สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่หน่วยฯ พญาเสือ ได้ติดตั้ง GPS Tracker ติดตามขบวนการลักลอบตัดไม้พะยูงไปจากพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ท้องที่อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีการลักลอบเคลื่อนย้ายไม้พะยูงจากพื้นที่ดังกล่าว ตั้งแต่เวลาประมาณ 18.00 น. ของวันที่ 8 มิถุนายน 2562 มาตามเส้นทางสายรองเพื่อหลีกเลี่ยงด่านตรวจ เจ้าหน้าที่หน่วยฯ พญาเสือ จึงติดตามรถยนต์ของขบวนการดังกล่าวจนมาถึงบ้านดังกล่าวข้างต้น เวลาประมาณ 7.15 น. ของวันที่ 9 มิถุนายน 62 จึงได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันวางแผนในการเข้าตรวจค้น
ผลการตรวจค้นพบ นางสาวศิริลักษณ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 22 ปี ออกมาแสดงตัวว่าอยู่ในบ้าน และนำตรวจสอบบริเวณโดยรอบ ตรวจพบไม้พะยูงกองอยู่หลังบ้าน และอุปกรณ์การกระทำผิดอื่น ประกอบด้วย ไม้พะยูงท่อน จำนวน 40 ท่อน และไม้พะยูงแปรรูป จำนวน 36 แผ่น/เหลี่ยม ปริมาตรรวม 0.78 ลบ.ม. เลื่อยวงเดือนขนาดใหญ่ จำนวน 1 ตัว รถไถนาเดินตามดัดแปลงเป็นเครื่องจักรกลสำหรับหมุนเลื่อยวงเดือน และอุปกรณ์ประกอบการกระทำผิดอื่นอีก 3 รายการ


สำหรับรถยนต์ที่ใช้ในการขนไม้พะยูงดังกล่าวหลบหนีไปก่อนที่คณะเจ้าหน้าที่จะเข้าตรวจค้น แต่เจ้าหน้าที่หน่วยฯ พญาเสือ ที่ติดตามมาตลอดทั้งคืนทราบว่าเป็น รถยนต์ ยี่ห้อ TOYOTA –ฟอร์จูนเนอร์ หมายเลขทะเบียน กว 6777 ขอนแก่น ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพื่อดูเส้นทางการหลบหนี



ขณะนี้นางสาวศิริลักษณ์ฯ ปฏิเสธและให้ข้อมูลว่า “ตนเองไม่ทราบว่าของกลางดังกล่าวข้างต้นเป็นของใคร” คณะพนักงานเจ้าหน้าที่กำลังอยู่ระหว่างจัดทำบันทึกตรวจยึดจับกุม เพื่อแจ้งความกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.เหล่าหลวง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.

ที่มา แฟนเพจกรมอุทยานแห่งชาติฯ https://www.facebook.com/DNP1362/?ref=bookmarks

วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ชุดฉลามขาว บุกจับ นายกอบต.เขาไม้แก้ว ตรัง รุกป่าชายเลน ตั้ง 4 ข้อหา

ชุดฉลามขาว บุกจับ นายกอบต.เขาไม้แก้ว ตรัง รุกป่าชายเลน ตั้ง 4 ข้อหา

ชุดปฏิบัติการพิเศษฉลามขาว ศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า (ศปก.พป.) ยัน ไม่ยอมให้ใครบุกรุกป่าชายเลน บุกดำเนินคดี 4 ข้อหา ผิดม.157 นายกอบต.เขาไม้แก้ว จ.ตรัง ร่วมบ.เอกชน ตัดถนนรุกป่าชายเลน ชี้ค่าเสียหายกว่า 1.5 ล้าน

นายรัชชัย พรพา หัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษฉลามขาว ประจำศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า (ศปก.พป.) และ นายไมตรี แสงอริยนันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 10 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเจ้าหน้าที่ กอ.รมน. ตำรวจภูธร สภ.สิเกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบพื้นที่ บริเวณท้องที่ หมู่ที่ 6 ตำบล เขาไม้แก้ว อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง พบมีการก่อสร้างถนนเป็นบริเวณกว้าง การตัดถนนบุกรุกป่าชายเลนและมีการถมปรับพื้นที่ เพื่อก่อสร้างท่าเทียบเรือ ขององค์การบริหารส่วนตำบลเขาไม้แก้ว ของบริษัทปัญจะพัฒนาวิศวกรรมและพาณิชย์การ อ้างว่า ได้รับอนุญาตจาก นายพีรพนธ์ ลังเมือง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเขาไม้แก้ว



 
จากลงพื้นที่ตรวจสอบพื้นที่ ที่มีการตัดถนนบุกรุกป่าชายเลนเพื่อก่อสร้างท่าเทียบเรือ ซึ่งสองข้างของถนนเป็นป่าชายเลนที่สมบูรณ์ มีพันธุ์ไม้และมีป่าชายเลนยืนต้นตายเป็นบริเวณกว้าง มีร่องรอยการตัดฟันไม้ป่าชายเลน ที่ยืนต้นตาย และมีการปักเสาไฟฟ้า เดินสายไฟฟ้าตลอดแนว ไปจนถึงบริเวณที่มีการก่อสร้างท่าเทียบเรือ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ป่าชายเลน ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2530 โดยลักษณะการบุกรุกป่าชายเลนเพิ่มเติม เพื่อสร้างขยายถนนจากเดิม 6 เมตร เพิ่มเป็นกว้าง 15 เมตร รวมสองข้างรุกล้ำพื้นที่ป่าชายเลน เป็นระยะทาง 1,350 เมตร



การกระทำดังกล่าวของบริษัทปัญจะพัฒนาวิศวกรรมและพาณิชย์การ จำกัด และนายพีรพนธ์ ลังเมือง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเขาไม้แก้ว ได้ร่วมกันกระทำความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

1. ฐาน ทำไม้ หรือเจาะ หรือสับ หรือเผา หรือทำอันตรายด้วยประการใดๆ แก่ไม้หวงห้าม โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 11 มีบทกำหนดโทษตามมาตรา 73

2. ฐาน ก่นสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่าหรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 54 มีบทกำหนดโทษตามมาตรา ๗๒ ตรี




3.ฐาน ยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่นสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทำไม้ หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14 มีบทกำหนดโทษตาม มาตรา 31

4. ฐาน กระทำหรือละเว้นการกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยกฎหมายอันเป็นการทำลายหรือเป็นเหตุให้เกิดการทำลายหรือทำให้สูญหายหรือเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ผู้นั้นมีหน้าที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามมูลค่าทั้งหมดของทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลาย สูญหาย หรือเสียหายไปนั้น ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2559 มาตรา 26/4


ส่วน นายพีรพนธ์ ลังเมือง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเขาไม้แก้ว โดนข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157


ทั้งนี้ การบุกรุกป่าชายเลนในครั้งนี้มีพื้นที่ จำนวนกว่า 13 ไร่ คิดค่าเสียหายทางด้านป่าไม้ได้จำนวนทั้งสิ้นเป็นมูลค่า 1,543,466.94 บาท ทั้งนี้ ได้ลงบันทึกเพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป นายรัชชัย กล่าว...

ที่มา https://www.thairath.co.th/news/local/south/1587153?fbclid=IwAR2rmfxWaMsf-XxY-gSKoEj8jbCTGioqs9XzNJiSRw8OBvpR6uYDVW8JEbU

วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2562

รมว.ทส.สั่งเข้ม! กรมป่าไม้รับคนเข้าทำงาน ให้ตรวจสอบประวัติก่อน

พล.อ.สุรศักดิ์ กำชับตรวจสอบประวัติคนจะเข้าทำงานกรมป่าไม้ หลังพบมีพนักงานและลูกจ้าง กรมป่าไม้ เอี่ยวขบวนการค้าไม้พะยูงข้ามชาติ ขณะที่ยังเร่งแก้กฎหมาย 5 ฉบับครอบคลุมป่าไม้ ที่ดิน สัตว์ป่า ป่าชุมชน ให้คนอยู่ในป่าอนุรักษ์ พร้อมตั้งคปช.ร่างแผนแม่บทป่าไม้


พล.อ.สุรศักดิ์ กำชับตรวจสอบประวัติคนจะเข้าทำงานกรมป่าไม้ หลังพบมีพนักงานและลูกจ้าง กรมป่าไม้ เอี่ยวขบวนการค้าไม้พะยูงข้ามชาติ ขณะที่ยังเร่งแก้กฎหมาย 5 ฉบับครอบคลุมป่าไม้ ที่ดิน สัตว์ป่า ป่าชุมชน ให้คนอยู่ในป่าอนุรักษ์ พร้อมตั้งคปช.ร่างแผนแม่บทป่าไม้
วันนี้ ( 9 ม.ค.2562) กรณีพนักงานและลูกจ้างของกรมป่าไม้ ถูกไล่ออกจำนวน 6 คน เนื่องจากเกี่ยว ข้องกับขบวนการค้าไม้พะยูงขายนายทุนจีน ทั้งนี้ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ยอมรับว่า วันนี้ยังคงตรวจพบเจ้าหน้าที่ระดับล่าง ลูกจ้าง พนักงานของกรมป่าไม้ เข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการค้าไม้ ส่วนจะเกี่ยวข้องมาก่อนจะมาทำงานที่กรมป่าไม้ หรือมาแล้วพบช่องทางทำผิดหรือไม่
เบื้องต้นสั่งการนายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ ว่าจะต้องเข้มงวดและเน้นย้ำไปทางสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ทั่วประเทศ ให้ตรวจประวัติคนที่จะเข้ามาอยู่ทำงานกับกรมป่าไม้มากขึ้น
ทั้งนี้การที่มีคนของกรมเข้าไปเกี่ยวข้อง โดยในอดีตก็คงมีอยู่แต่จับตัวได้ยาก เพราะการเคลื่อนย้ายไม้ต้องมีกระบวนการการซุกซ่อน ทำให้ตามจับยาก ส่วนตอนนี้มีเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้เรามั่นใจในการจับกุมขบวนการง่ายขึ้น มีการย้อนรอยเครือข่าย เช่น เครือข่ายนางมู่หลาน ที่ขยายไปมากขึ้นจนทำให้พบว่ามีคนหลายกลุ่มที่เข้าร่วมในกระบวนการนี้ และบางส่วนพบว่าเป็นคนกรมป่าไม้ ก็สั่งให้ไล่ออกและดำเนินคดีอาญาอย่างเด็ดขาด

ตั้งคปช.ร่างแผนแม่บทป่าไม้ครั้งแรก

นอกจากนี้ พล.อ.สุรศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาล ยังแก้ปัญหาด้านทรัพยากรป่าไม้อย่างเป็นระบบ โดยตั้งคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ (คปช.) จำนวน 29 คน  โดยมีหน้าที่ในการจัดทำร่างนโยบายป่าไม้แห่งชาติ และแผนแม่บทการป่าไม้แห่งชาติ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างตั้งคณะอนุกรรมการจัดทำร่างแผนแม่บทฯ ทั้ง 14 คน และให้แล้วเสร็จ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี  และร่างแผนแม่บทพัฒนาการป่าไม้แห่งชาติจะมีการทบทวนทุกๆ 3 ปี
โดยในกระบวนการนี้ จะมีการแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้ สัตว์ป่าและอุทยาน และพ.ร.บ.ป่าชุมชน รวมทั้งหมด 5 ฉบับ เพื่อกำหนดบทบาทและทิศทางงานป่าไม้ โดยหวังว่าจะหยุดการบุกรุกป่าไม้ทำลายป่า ขณะนี้กฎหมายแต่ละฉบับมีความคืบหน้าไปมากแล้ว
ยอมรับว่า 3-4 ปีที่ผ่านมา ป่าไม้เคยลดลงปีละ 1 ล้านไร่ และหยุดเลือดไหลด้วยการเข้าไปลาดตระเวน และบังคับใช้กฎหมายจนเหลือ 30,000 ไร่ใน 2 ปีแรก และตอนนี้ก้าวมาสู่การจัดให้คนอยู่ในป่าได้ แต่จะต้องแก้ไขกฎหมายโดยใช้คำสั่ง คสช.ที่ 66/2557 รองรับการจับกุมดำเนินคดีกับผู้ยากไร้ 

แก้กฎหมาย 5 ฉบับเดินหน้าคนอยู่ในป่าอนุรักษ์

สำหรับกฎหมายทั้ง 5 ฉบับประกอบด้วย 1.นโยบายที่ดินแห่งชาติ ขณะนี้อยู่ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คาดว่าไม่นานนี้จะมีผลบังคับใช้ สาระสำคัญคือให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ อำนาจหน้าที่กำหนดกรอบกฎหมายแก้ปัญหาที่ดินรัฐทุกประเภท ที่ป่า ที่ราชพัสดุ ที่นิคม และถ้าเกิดความขัดแย้ง ระหว่างที่ดินรัฐกับรัฐ รัฐกับประชาชน กำหนดมาตรการเยียวยาประชาชน คณะทำงานชุดนี้จะมีกฎหมายรองรับ
2.ปรับแก้กฎหมายอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 รวมทั้ง พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าพ.ศ.2535 ซึ่งเดิมกฎหมายไม่อนุญาตให้คนอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ได้เลย แต่ของใหม่ที่เราจะแก้ปัญหาคือ ชุมชนที่อยู่มาก่อน 2,700 ชุมชนพื้นที่ประมาณ 5.9 ล้านไร่ เราจะยินยอมให้อยู่ แต่ไม่มีการอนุญาตให้ใหม่ รวมทั้งการเพิ่มบทลงโทษเกี่ยวกับสัตว์ป่า ในพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่
4. พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 เรื่องการยกเลิกไม้หวงห้าม โดยที่ดินกรรมสิทธิ์ของประชาชน ที่ปลูกไม้หวงห้าม ถือเป็นสิทธิของประชาชน ตัดขายได้โดยไม่ต้องอนุญาตเจ้าหน้าที่ จากเดิมที่ไม่อนุญาต และยังจะขยายไปในที่ดินอนุญาตในพื้นที่อื่นๆ ซึ่งตอนนี้อยู่ในสนช.คาดว่าเดือนก.พ.นี้ น่าจะมีผลบังคับใช้
5.พ.ร.บ.ป่าชุมชน ซึ่งใช้เวลามา 30 ปีอยู่ใน ขั้นการพิจารณาของ สนช. ทั้งนี้คาดหวังว่าถ้าปรับแก้กฎหมายทั้ง 5 ฉบับแล้ว สิ่งที่ปฏิรูปคือพื้นที่ขัดแย้งในอดีต จะเป็นพื้นที่ได้รับอนุญาต และไม้หวงห้ามจะเกิดอุตสาหกรรมป่าไม้ในอนาคต และต้องหารือกับกระทรวงพานิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนสามารถส่งออกไม้ เช่นกรณีไม้สักด้วย 
ขอขอบคุณที่มา..ข่าวไทยพีบีเอส http://news.thaipbs.or.th/content/276890?fbclid=IwAR1rvrvCw6HKvHM3FLN1uubRcxzuR_lMrgLUFkAIwhTheKYy8RjzqLJigdA

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2562

ไล่ออก!! 6 จนท.ป่าไม้ ร่วมขบวนการค้าไม้พะยูงข้ามชาติ

“กรมป่าไม้”ไล่ออก-ดำเนินคดีอาญา6 เจ้าหน้าที่ หน่วยป่าไม้แก่งหางแมวร่วมนายทุนจีนขบวนการ”อาชี่” ค้าไม้พะยูงแฉเจ้าหน้าที่ทำเองมีพฤติกรรมฟอกไม้ ร่วมกันตรวจยึดแบ่งหนึ่งทำคดีอีกส่วนส่งขายนายทุน อธิบดีสั่งขยายผลโยงขบวนการมู่หลานหรือไม่


จากกรณีเจ้าหน้าที่ชุดพญาเสือ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ จับกุมขบวนการค้าไม้พะยูงที่หน่วยป้องกันรักษาป่า ที่ จ.บ.8 (คลองแดง) ต.พวา อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี โดยสามารถจับกุมเจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้ จำนวน 4 ราย และหลบหนีไปไ้ด้ 2 ราย รวมมีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้อง 6 รายนั้น






เมื่อวันที่ 8 ม.ค. นางอำนวยพร ชลดำรงค์กุล รองอธิบดีกรมป่าไม้ ในฐานะโฆษกกรมป่าไม้ เปิดเผยว่า นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ สั่งการให้นายชีวะภาพ ชีวะธรรม ผอ.สำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า ขยายผล โดยจากการสอบปากคำพบว่าขบวนการค้าไม้พะยูงที่จับกุมได้เป็นของนายนทุนชาวจีน ชื่อ “อาชี่”และมีตัวกลางเป็นคนไทยชื่อนายก้าน ได้เข้ามาขนย้ายไม้ในหน่วยป้องกัน จ.บ.8 โดยมีเจ้าหน้าที่หน่วยฯ รู้เห็นเป็นใจจำนวน 6 นาย ที่สำคัญพบว่ามีขบวนการของเจ้าหน้าที่เคยทำแบบนี้มาก่อน โดยจะร่วมกันไปตรวจยึดไม้มา และแบ่งส่วนหนึ่งทำคดีและอีกส่วนจะนำไปขายให้นายทุน พฤติกรรมดังกล่าวเรียกว่าพฤติกรรมฟอกไม้ ทั้งนี้อธิบดีกรมป่าไม้สั่งให้ดำเนินคดีอาญากับเจ้าหน้าที่ทั้ง 6 ราย ประกอบด้วย นายอนิรุจน์ จำปาทอง นายนิพนธ์ นาคเกษม นายปณิธาน ปทุมจันทร์แก้ว นายภาคภูมิ อินทรัชนายจิรพงษ์ ปทุมจันทร์ และนายสุรพงษ์ บังดี โดยเป็นพนักงานราชการ 1 นาย และพนักงานจ้างเหมา 5 ราย ทั้งนี้จำนวน 4 รายที่จับได้ถูกดำเนินคดีอาญาส่งตัวเข้าคุกแล้ว และให้ไล่ออกจากการปฏิบัติหน้าที่ด้วย

โฆษกกรมป่าไม้ กล่าวต่อว่า ส่วนหัวหน้าหน่วยป้องกัน จ.บ.8 เบื้องต้นน่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะเพิ่งมีคำสั่งให้มาทำหน้าที่หัวหน้าหน่วยฯ อีกหน้าที่หนึ่ง เนื่องจากหัวหน้าหน่วยฯ คนเดิมเกษียณอายุราชการเมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ส่วนเจ้าหน้าที่ที่เป็นสายให้ข้อมูลกับกรมและพร้อมเป็นพยานกรมป่าไม้จะให้ย้ายไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อน เพราะมีความหวาดกลัวจากอิทธิพลของขบวนการ นอกจากนี้กรมป่าไม้จะขยายผลว่ากลุ่มขบวนการของนายทุนชาวจีน “นายอาชี่”กับขบวนการค้าไม้มีค่าข้ามชาติ มู่หลาน” หรือ น.ส.ชลิดา สุพันธมาส ว่ามีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่ โดยขณะนี้กรมป่าไม้ได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงและวินัยข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้ที่เข้าไปเกี่ยวข้องและส่งเสริมให้กับขบวนการค้าไม้มีค่าของนางมู่หลานแล้วในหลายจังหวัด อาทิ จ.เชียงราย สุรินทร์ และอุดรธานี เป็นต้น กรมป่าไม้ยืนยันว่าจะกวาดล้างขบวนการค้าไม้ข้ามชาติให้สิ้นซาก

ที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์  https://www.dailynews.co.th/politics/686688?fbclid=IwAR1Fgw7GREHyGxNJJTW95newO0XGCEpthIjhTAAvrBBuipJYv4ky_pFGEoc

โพสต์แนะนำ

พบเห็น !! การบุกรุกตัดไม้ทำลายป่า โปรดแจ้งสายด่วน ชุด ฉก.พญาเสือ โทร. 097-281-6363

พบเห็นการบุกรุกตัดไม้ทำลายป่า โปรดแจ้งสายด่วน  ชุดเฉพาะกิจปฏิบัติการพิเศษผู้พิทักษ์อุ...