เมื่อวันที่ 14-16 กันยายนที่ผ่านมา มีการประชุมใหญ่ประจำปีของสมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุมครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ (สคส.) ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ถนนรัชดาภิเษก สุทธิสาร กทม. ซึ่งหนึ่งปีจะมีงานประชุมใหญ่ของเครือข่ายเอ็นจีโอด้านสิ่งแวดล้อมทั่วประเทศกันสักครั้งหนึ่งซึ่งมีมวลสมาชิกกว่า 158 องค์กรทั่วประเทศเกือบ 500 คนเข้าร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพียง
การประชุมครั้งนี้ได้ตั้งหัวข้อการประชุมว่า ปฏิรูปธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งมีการนำประเด็นปัญหาทางด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่กำลังเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วประเทศมาถกแถลงกันในแต่ละเวที เพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน ในการนำไปขับเคลื่อนหรือผลักดันในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อการแก้ไขปัญหาในระยะสั้นและยาวต่อไป
ประเด็นปัญหาที่ยกขึ้นมาถกแถลงวิพากษ์กันมีทั้งสิ้น 8 ประเด็น คือ 1)กฎหมายแร่กับการมีส่วนร่วมของประชาชน มีการถกแถลงกันถึงกฎหมายแร่ภาคประชาชน เพื่อระดมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อกฎหมายแร่ ปัญหา EIA กับการละเมิดสิทธิชุมชน กรณีปัญหาความรุนแรงในพื้นที่สัมปทานเหมืองแร่ต่าง ๆ เช่นที่พิจิตร ที่เลย ที่ตาก ที่อุดรธานี เป็นต้น
2)การจัดการทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน มีการถกแถลงกันถึงการปรับปรุงกฎหมายประมง และกฎหมายทางทะเลและชายฝั่ง ปัญหาแรงงานในภาคประมง การค้ามนุษย์และการนิรโทษกรรม มุมมองของกรมประมงต่อการทำประมงพื้นบ้าน และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำกับการยึดครองพื้นที่ทะเลของเอกชน เป็นต้น
3)เรื่องของสถานการณ์การปกป้องสัตว์ป่า-สัตว์สงวน ภายใต้อนุสัญญาไซเตส สถานภาพและความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ แหล่งที่อยู่อาศัยถูกบุกรุก การอนุรักษ์พะยูนและการอยู่ร่วมกันของชาวประมงชายฝั่ง รวมทั้งการแก้ไขกฎหมายเพื่อการอนุรักษ์ช้างป่า ช้างบ้าน และเสือโคร่ง การลักลอบการค้าขายสัตว์ป่าและผลิตภัณฑ์สัตว์ป่าข้ามชาติ
4)การสรุปบทเรียนของการส่งเสริมและคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของโครงการขนาดเล็ก การแสวงหาพลังงานทางเลือก พลังงานทดแทน การจัดการโดยชุมชน เช่น พลังงานน้ำ แก๊สชีวภาพ ชีวมวล ความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศเกษตรกรรม ระบบนิเวศน์ของป่า ความหลากหลายทางชีวภาพในนิเวศทางทะเลชายฝั่ง เป็นต้น
5)การปฏิรูปการจัดการที่ดิน(ที่ทำกินและที่อยู่อาศัย)และทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน เพราะภาคประชาชน คนจนได้รับผลกระทบจากการจัดการที่ดิน ทรัพยากร จากภูผา ผ่านเมือง ถึงทะเล ซึ่งจำเป็นต้องมีการปฏิรูปการถือครองที่ดินและทรัพยากรภายใต้กฎหมาย 4 ฉบับ เช่น กฎหมายภาษีที่ดินและมรดกเป็นต้น
6)การปฏิรูปโครงสร่างการบริหารจัดการน้ำ ภายใต้กระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งนำไปสู่การวิพากษ์แนวคิด และกระบวนการบริหารจัดการน้ำในโครงการ 3.5 แสนล้านที่ผ่านมา และการก้าวไปข้างหน้าในยุคของการปฏิรูป รวมทั้งการผลักดัน (ร่าง) พระราชบัญญัติการบริหารจัดการน้ำ พ.ศ... ฉบับประชาชน
7)การปฏิรูปพลังงาน เป็นการนำเสนอปัญหาและความจำเป็นที่จะต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างของพลังงานของประเทศ ความเป็นธรรมในการเข้าถึงหรือการใช้พลังงาน และการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนภาคประชาชน การต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินและนิวเคลียร์ รวมทั้งการคัดค้านการเปิดสัมปทานขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมรอบที่ 21 ด้วย
8)การปฏิรูประบบ E-HIA และการผลักดันระบบ SEA ซึ่งมีการสะท้อนปัญหาของการจัดทำ EIA หรือ E-HIA ที่ผ่านมาที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายทั้งสิ้น จำเป็นต้องปรับรื้อโครงสร้างหรือกระบวนการจัดทำใหม่ทั้งหมด รวมทั้งการที่จะต้องผลักดันให้มีระบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเชิงยุทธศาสตร์ (SEA) ไปสู่การปฏิบัติด้วย โดยการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม 2535 ใหม่ รวมทั้งการผลักดันให้มี พ.ร.บ.องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ให้เป็นมรรคผล
9)การตั้งรับปรับตัวและพลิกฟื้นชุมชนภายใต้กระแสโลกร้อนเพื่อสร้างความเป็นธรรมหญิงชาย นำไปสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้การปรับตัวของชุมชนต่าง ๆ ในบริบทที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาโลกร้อน โดยเฉพาะด้านการเกษตร ด้านการประมงชายฝั่ง พื้นที่ลุ่มน้ำ ด้านพลังงาน ด้านป่าไม้ รวมถึงผลกระทบในพื้นที่ชุมชนเมือง โดยเน้นความเท่าเทียมในระบบหญิงชายด้วย เพื่อนำไปสู่การผลักดันในเชิงนโยบาย
ทั้ง 9 ประเด็นดังกล่าวในเวทีย่อยของการเสวนาของมวลสมาชิกสมัชชา ทำให้ได้ข้อสรุปที่เป็นรูปธรรมหลายประการที่จะต้องนำผลลัพธ์ที่ได้ไปผลักดันในเชิงนโยบายต่อไปในหลายมิติ ทั้งการเสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หรือสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) หรือคณะกรรมการฯชุดต่าง ๆ ที่ คสช. แต่งตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาของชาติ
ส่วนในประเด็นของข้อเสนอในการบริหารจัดการน้ำระบบใหม่ที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำชุดใหม่ที่ คสช.แต่งตั้งขึ้นมา และได้ไปเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น สภาพปัญหาและข้อเสนอจากภาคประชาชนบางจังหวัดทั้งสี่ภูมิภาคแล้วนั้น มีประเด็นและข้อเสนอที่น่าสนใจหลายประการ เพื่อนำไปสู่การจัดทำ แผนแม่บทด้านการบริหารจัดการน้ำ แผนใหม่นั้น
ข้อสำคัญ คือ แผนแม่บท หรือยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำที่กำลังดำเนินการภายใต้คณะกรรมการน้ำของ คสช. เมื่อไปเปิดเวทีรับฟังภาคประชาชนทุกภูมิภาคแล้ว เมื่อจัดทำแผนแม่บทหรือแผนยุทธศาสตร์เสร็จแล้ว ต้องจัดเวทีใหญ่ให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมรับรู้อีกครั้ง ก่อนที่จะนำไปสู่การบังคับใช้หรือปฏิบัติจริง แต่หากคณะกรรมการยกร่างแผนดังกล่าวขึ้นมาแล้ว ไม่ยอมนำแผนดังกล่าวกลับไปรับฟังเสียงจากภาคประชาชนอีก ก็เห็นทีต้องนำข้อพิพาทไปฟ้องร้องกันในศาลปกครองอีกเป็นแน่แท้
การบริหารจัดการน้ำท่วม น้ำแล้ง และคุณภาพน้ำ ต้องไม่มุ่งเน้นแต่เฉพาะโครงการที่เป็นสิ่งปลูกสร้าง แต่ควรเน้นประสิทธิภาพของสิ่งปลูกสร้างเดิม ให้มีผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม และต้องบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับน้ำกว่า 20 หน่วยงานใหม่ โดยกำหนดภารกิจ บทบาท หน้าที่ เพื่อให้สอดคล้องประสานกันตั้งแต่ระดับส่วนกลางจนถึงท้องถิ่น
สิ่งที่หลายคนพูดตรงกัน คือ ข้อมูลสภาพและสถานการณ์น้ำทั่วประเทศทุกหน่วยงานมีครบถ้วน แต่สิทธิการเข้าถึงแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ของภาคประชาชนกลับเป็นอุปสรรค การแก้ไขปัญหาการเข้าถึงข้อมูลการบริหารจัดการน้ำทุกหน่วยงานจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการสร้างกลไกที่ชัดแจ้งในการเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นของภาคประชาชนในทุกระดับด้วย
ในยุคปฏิรูปเลิกคิดว่าชาวบ้านเป็นศัตรูได้แล้ว คิดจะทำอะไรควรตั้งสติให้มั่น ก่อนการปฏิรูปครับ...
ที่มา..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น