การประเมินพื้นที่ป่าไม้ที่คงสภาพในประเทศไทย
มีขึ้นเพื่อนำมาใช้สำหรับการบริหาร จัดการพื้นที่ป่าไม้ ด้วยแนวคิดพื้นฐานตามคำจำกัดความขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO : Food and Agriculture Organization)
บนพื้นฐานของการกำหนดว่า “พื้นที่ป่าไม้” หมายถึง บริเวณพื้นที่ที่มากกว่า 0.5 เฮคแตร์ (3.125 ไร่) ที่มีเรือนยอดของต้นไม้ท้องถิ่นปกคลุมเฉลี่ยมากกว่าร้อยละ 10
โดยมีความสูงของต้นไม้เมื่อโตเต็มที่ไม่น้อยกว่า 5 เมตร ทั้งนี้ไม่รวมถึง ต้นไม้ในพื้นที่เกษตรและพื้นที่ชุมชน
หรือเมือง และให้มีการแปลตีความพื้นที่ป่าไม้อย่างต่อเนื่อง ในทุกๆ 5 – 10 ปี
ประเทศไทยได้ดำเนินการตามแนวคิดดังกล่าว ด้วยการใช้การสำรวจจากระยะไกล
อันรวมถึงการใช้ภาพถ่ายทางอากาศ ข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียม
เพื่อนำมาประเมินพื้นที่ป่าไม้ที่คงสภาพ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 จนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ความถูกต้อง
แม่นยำ ของข้อมูล ขึ้นกับห้วงระยะเวลาในการแปลตีความ ข้อมูลที่นำมาใช้ในการแปลตีความ
รวมถึงอุปกรณ์ และเครื่องมือ ที่นำมาใช้ในการดำเนินการ
การประเมินพื้นที่ป่าไม้
ในช่วงสมัยแรก ๆ เป็นการดำเนินการที่ขาดแคลนทั้งข้อมูลและเทคโนโลยีที่เหมาะสม
ใช้วิธีการประเมินจากข้อมูลการสำรวจจากระยะไกล ในรูปของภาพพิมพ์ ที่มีมาตราส่วนขนาดเล็ก
ขาดความถูกต้องเชิงพิกัด และไม่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้เนื้อที่บางครั้งมีข้อผิดพลาดสูง
แต่ด้วยสถานการณ์ในขณะนั้น ข้อมูลแต่ละชุดดังกล่าวจึงเป็นตัวเลขที่ดีที่สุดเท่าที่จะประเมินพื้นที่ได้
จนถึงยุคที่มีการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการปฏิบัติงาน มีการพัฒนาระบบที่มีความเป็นมาตรฐานมากขึ้น
มีการใช้ข้อมูลที่เป็นดิจิตัล
ข้อมูลถูกปรับปรุงค่าพิกัดให้มีความถูกต้องก่อนนำมาใช้ในการตีความพื้นที่ป่าไม้
รวมถึงการมีระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เข้าช่วยในการคำนวณเนื้อที่ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ
ภายใต้บริบทของการประเมินพื้นที่ป่าไม้ดังกล่าว
ด้วยการแปลตีความจากข้อมูลการสำรวจระยะไกล ก่อให้เกิดบทวิพากษ์ วิจารณ์
และมีข้อถกเถียงถึงขนาดพื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทย โดยมิได้ลึกซึ้งถึงวิธีการ
และข้อจำกัดในการใช้งาน สถานการณ์ และความเป็นไปของข้อมูลอย่างถ่องแท้
ว่าวิธีการ และรูปแบบในการประเมิน ไม่สามารถ ดำเนินการแบบทันที (Real Time) ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือมีการกระทำใด
ๆ บนผืนป่า ในภาวะปกติการประเมินจะประเมินหรือตีความพื้นที่ป่าไม้ในช่วงเวลาที่เหมาะสมในแต่ละปี
ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมจะเป็นในช่วงปลายปีถึงต้นปี (ปลายเดือนพฤศจิกายน
ถึงต้นเดือนเมษายน) เนื่องจากข้อมูลในช่วงนั้นจะเป็นข้อมูลที่มีเมฆปกคลุมน้อย ข้อมูลภาพที่ได้ค่อนข้างคมชัด
ทำให้เห็นพื้นที่ได้อย่างชัดเจน
ทั้งนี้ในสภาพความเป็นจริงในพื้นที่ มีการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สืบเนื่องจากการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศที่ผ่านมา ยังคงใช้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นฐาน
รัฐบาลหลายยุคหลายสมัยได้ประกาศนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการพื้นที่ป่าไม้และการจัดสรรที่ทำกินให้กับราษฎร
แต่ไม่มีผลในทางปฏิบัติที่ก่อให้เกิดผลที่ดีที่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนในการคงไว้ซึ่งพื้นที่ป่าไม้
หน่วยงานดำเนินงานตามหน้าที่และขอบเขตของกฎหมายที่กำหนด
ทรัพยากรป่าไม้จึงถูกใช้อย่างไม่มีระบบ ขาดการผสมผสานของแนวคิด หลักวิชาการ
และหลักการบริหารที่เหมาะสม
พื้นที่ป่าคงสภาพในประเทศไทย และ
ในเขตป่าอนุรักษ์
ปี พ.ศ.
|
เนื้อที่รวมทั้งประเทศ
|
สัดส่วนต่อเนื้อที่ประเทศ
|
เนื้อที่ป่าไม้ในเขตป่าอนุรักษ์
|
สัดส่วนต่อเนื้อที่ประเทศ
|
2504
|
171,018,125
|
53.04
|
|
|
2516
|
138,566,875
|
42.97
|
66,177,424
|
20.52
|
2519
|
124,010,625
|
38.46
|
|
|
2521
|
109,515,000
|
33.96
|
|
|
2525
|
97,875,000
|
30.35
|
|
|
2528
|
94,291,250
|
29.24
|
63,841,241
|
19.80
|
2531
|
89,876,875
|
27.87
|
|
|
2532
|
89,635,625
|
27.80
|
62,086,801
|
19.26
|
2534
|
85,436,250
|
26.50
|
|
|
2536
|
83,471,250
|
25.89
|
55,801,890
|
17.30
|
2538
|
82,178,125
|
25.49
|
|
|
2541
|
81,076,250
|
25.14
|
|
|
2543
|
106,319,239
|
32.97
|
60,527,552
|
18.77
|
2547
|
104,744,360
|
32.48
|
59,783,417
|
18.54
|
2548
|
100,625,813
|
31.21
|
58,656,714
|
18.19
|
2549
|
99,157,869
|
30.75
|
|
|
2551
|
107,241,031
|
33.26
|
|
|
2556
|
102,119,538
|
31.67
|
61,102,581
|
18.95
|
2557
|
102,285,400
|
31.72
|
60,746,325
|
18.84
|
2558
|
102,240,982
|
31.71
|
61,089,505
|
18.95
|

ในช่วงเวลากว่าห้าทศวรรษที่ผ่านมาประเทศไทยสูญเสีย
พื้นที่ป่าประมาณ 68.77 ล้านไร่
หรือเฉลี่ยประมาณ 1.3 ล้านไร่ต่อปี กล่าวคือ ปี พ.ศ. 2504 ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าอยู่ถึงร้อยละ 53.3
ของพื้นที่ประเทศ หรือประมาณ 171.02 ล้านไร่
และลดลงมาโดยตลอดจนในปี พ.ศ. 2541
ประเทศไทยเหลือพื้นที่ป่าเพียง 81.08 ล้านไร่(ร้อยละ 25.14)
และปัจจุบัน (พ.ศ. 2558) มีพื้นที่ป่า 102.24 ล้านไร่ หรือร้อยละ 31.71
สาเหตุของการลดลงของพื้นที่ป่า มีมากมายหลายประการ ตั้งแต่ การเพิ่มขึ้นของประชากร
และการขยายตัวของชุมชนและเมืองส่งผลให้เกิดความต้องการใช้พื้นที่เพิ่มขึ้น
การทำไร่เลื่อนลอยบริเวณพื้นที่สูง การบุกรุกป่าเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจ
การตั้งถิ่นฐานใหม่ เช่น นิคมสหกรณ์ ศูนย์พัฒนาชาวเขา ไฟป่า การทำเหมืองแร่
การพัฒนาเพื่อความมั่นคงต่าง ๆ ตลอดจนการทุจริตของภาครัฐ
รวมถึงการกระจายอำนาจที่ส่งผลกระทบต่อการดูแลรักษาพื้นที่ป่าไม้ รวมถึง
นโยบายการจัดที่ดินทำกินให้แก่ราษฎร ในหลาย ๆ ครั้ง
ก่อให้เกิดการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ เช่นในปี พ.ศ. 2522
คณะรัฐมนตรี มีมติให้ดำเนินการช่วยเหลือราษฎรที่บุกรุกอยู่ในป่าสงวนแห่งชาติ
ให้ได้รับอนุญาตโดยชอบด้วยกฎหมายให้มีที่ทำกินเป็นหลักแหล่ง
กรมป่าไม้ได้เริ่มดำเนินการให้สิทธิทำกิน (สทก.) ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2525 การนำพื้นที่ป่าไม้ที่เสื่อมโทรม
มอบให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จำนวน 44.00
ล้านไร่ ในปี พ.ศ. 2535 รวมถึงมติคณะรัฐมนตรี 30 มิถุนายน พ.ศ. 2541
มาตรการและแนวทางแก้ไขปัญหาที่ดินในพื้นที่ป่าไม้ และการผ่อนผันการจับกุมดำเนินคดี
ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้พื้นที่ป่าไม้ลดลง
ในอีกด้านหนึ่งมีความพยายามในการที่จะดูแลรักษาพื้นที่อย่างเข้มข้นมากขึ้น
เช่น การเพิ่มหน่วยป้องกันในรูปของหน่วยพิทักษ์ การเพิ่มการลาดตระเวน
การดำเนินโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ
การปลูกป่าตามโครงการปลูกป่าประชาอาสา
การพัฒนาคุณภาพชิวิตของประชาชน ให้ลดการใช้พื้นที่ป่า
ลดการพึ่งพิงการใช้ทรัพยากรป่าไม้ แต่ทั้งนี้การดำเนินงานเรื่องหนึ่ง เรื่องใด
กับพื้นที่ป่าไม้ มิได้ส่งผลในทันทีต่อขนาดของพื้นที่ป่าไม้
ทั้งในเชิงบวกที่ทำให้พื้นที่ป่าไม้เพิ่มขึ้น หรือในเชิงลบที่ทำให้พื้นที่ป่าไม้
ที่ได้จากการประเมินลดลงอย่างทันทีทันใด เช่น นโยบายการจัดสรรที่ทำกินให้กับราษฎร
ในรูปแบบของโครงการต่าง ๆ
ในการนำพื้นที่ป่าเปลี่ยนเป็นพื้นที่เกษตร ด้วยการผ่อนผัน
มอบพื้นที่ของภาครัฐ มิได้ส่งผลให้เกิดการทำลายป่าเพียงระยะเวลาสั้น ๆ แต่จะส่งผลต่อเนื่องในระยะยาว
กว่าที่จะตรวจพบประเทศได้สูญเสียพื้นที่เหล่านั้นเป็นการถาวรจึงจะปรากฎชัดบนข้อมูลภาพจากดาวเทียม
ในทางตรงกันข้ามนโยบายในการทวงคืนผืนป่า แม้ว่าจะทวงกลับมาได้ในปัจจุบัน
แต่พื้นที่เหล่านั้นยังต้องการการฟื้นตัว อย่างน้อยนับสิบปี
กว่าพื้นที่เหล่านั้นจะถูกตรวจจับได้ว่าเป็นพื้นที่ป่าที่สมบูรณ์ดังเดิมอย่างแท้จริง
การกล่าวอ้างการดำเนินการในช่วงระยะเวลาต่าง ๆ จึงไม่สามารถกล่าวอ้างผลงานในขณะใด
ๆ ขณะหนึ่งได้อย่างชัดเจน
ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างซับซ้อนดังกล่าว
ทำให้พื้นที่ปาไมของประเทศไทย ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยาง
ตอเนื่อง
จากการประเมินพื้นที่ป่าไม้ครั้งแรก ซึ่งมีพื้นที่ป่าไม้ถึง 171.02
ล้านไร่นั้น มีอัตราการสูญเสียที่ลดลง จากร้อยละ 2.70 ล้านไร่ ต่อปีในช่วงทศวรรษแรก เหลือเพียง 0.04 ล้านไร่ต่อปี
ในปัจจุบัน(พ.ศ. 2557 – 2558) ในขณะที่ภาครัฐในส่วนของการอนุรักษ์
ได้มีความพยายามในการแก้ไขปัญหาการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้มาอย่างต่อเนื่อง
แนวทางในการแก้ไขที่เห็นผลเป็นรูปธรรมที่สุดคือการนำพื้นที่ป่าไม้ที่ยังคงมีสภาพสมบูรณ์นำมาประกาศเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์
ซึ่งสามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างเข้มแข็งขึ้น
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาเฉพาะในพื้นที่ป่าอนุรักษ์
พบว่าผลการดำเนินการด้านการอนุรักษ์ให้ผลเป็นที่น่าพอใจ
โดยอัตราการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ ในช่วงแรก (พ.ศ. 2516 – 2536) ที่มีอัตราการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ในเขตป่าอนุรักษ์ ประมาณปีละ 0.52ล้านไร่ สู่แนวโน้มของการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ป่าไม้ในเขตป่าอนุรักษ์
ที่สามารถเพิ่มขึ้นในช่วงหลัง (พ.ศ. 2536 – 2558) ถึงอัตราปีละประมาณ
0.24 ล้านไร่.
|
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น