ปัญหาป่าไม้ของไทย เป็นปัญหาที่หมักหมม
มาเป็นเวลานานแก้กันมาหลายยุคหลายสมัย
เพราะที่ผ่านมาเป็นการใช้ทรัพยากรป่าไม้โดยตรง ในยุคสัมปทานป่า ก็ตัดไปขายกันหมด ขาดจิตสำนึก
และนำเข้าเครื่องมือทำลายป่าเข้ามาเช่น เครื่องจักรกลขนาดใหญ่ เครื่องเลื่อยยนต์ เลื่อยวงเดือน
สมัยก่อน ก่อนที่จะนำอุปกรณ์เหล่านี้เข้ามา ชาวบ้านจะเข้าไปตัดไม้สักต้น
กว่าจะแปรรูปออกมาเป็นแผ่นหรือเป็นไม้พร้อมจะใช้งาน ทำบ้านเรือน ต้นหนึ่งๆใช้เวลาเป็นเดือนๆ
เพราะเครื่องมือส่วนใหญ่ก็ คือ ขวาน
เลื่อยมือ ถึงจะมีการบุกรุกป่าก็ไม่ทำให้ป่าเสียได้มากถึงเพียงนี้ ต่างกับปัจจุบัน
ใช้เวลาในการโค่น และแปรรูปใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ก็สามารถทำไม้เอาใช้ประโยชน์ได้เลย
ภาพประกอบจากเว็บไซต์กูเกิ้ล |
และการที่รัฐประกาศแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในยุคแรกๆ บางฉบับเน้นการปลูกพืชเชิงเดี่ยวทีละมากๆ เช่นข้าว ปอ ข้าวโพด ปัจจุบัน ยางพายา ปาล์มน้ำมัน แทนการเกษตรแบบดั้งเดิมพอที่ดินเสื่อมสภาพก็ไปบุกรุกที่ป่าเพิ่มเพื่อขยายพื้นที่ทำการเกษตร โดยรัฐขาดการสนับสนุนการในใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์เต็มประสิทธิภาพอย่างสูงสุด การใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าอย่างต่อเนื่องในช่วงสี่ทศวรรษที่ผ่านมาทำให้ประเทศไทยสูญเสีย
พื้นที่ป่าไปแล้วประมาณ 67 ล้านไร่
หรือเฉลี่ยประมาณ 1.6 ล้านไร่ต่อปี กล่าวคือ ปี พ.ศ. 2504
ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าอยู่ถึงร้อยละ 53.3 ของพื้นที่ประเทศ
หรือประมาณ 171 ล้านไร่ และลดลงมาโดยตลอดจนในปี พ.ศ. 2532
ประเทศไทยเหลือพื้นที่ป่าเพียงร้อยละ 27.95 ของพื้นที่ทั้งหมด
หรือประมาณ 90 ล้านไร่ รัฐบาลในอดีตได้พยายามจะรักษาพื้นที่ป่าโดยประกาศยกเลิกสัมปทานการทำไม้ในป่าบกทั้งหมด
ในปี พ.ศ. 2532 แต่หลังจากยกเลิกสัมปทานป่าไม้
สถานการณ์ดีขึ้นในระยะแรกเท่านั้น
ต่อมาการทำลายก็ยังคงเกิดขึ้นไม่แตกต่างจากสถานการณ์ก่อนยกเลิกสัมปทานป่าไม้เท่าใดนัก
โดยพื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุกก่อนการยกเลิกสัมปทาน ปี พ.ศ. 2525-2532 เฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 1.2 ล้านไร่ และพื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุกหลังการยกเลิกสัมปทาน ปี พ.ศ. 2532-2541 เฉลี่ย 1.1 ล้านไร่ต่อปี พูดว่าใครขาดจิตสำนึก
ก็คือรัฐเองขาดจิตสำนึก ปัญหาป่าไม้จึงหมักหมม ทับถมมาถึงปัจจุบันนี้
มาถึงในวันนี้ยุคนี้ในการเข้ามาแก้ปัญหาที่ดินและป่าไม้ของไทย ให้เกิดเป็นรูปธรรมขึ้นก็คือ.. ยุค คสช.
(คณะรักษาความสงบแห่งชาติ)
ดูเหมือนจะตั้งหน้าตั้งตาเดินหน้าแก้ปัญหาเรื่องป่าไม้แบบเอาจริงเอาจัง ประกาศชัดเจน
เห็นข่าวเรื่องการปราบปรามการตัดไม้ ทำลายป่า บุกรุกป่า ไม่เว้นแต่ละวัน
ไม่ว่าจะเป็นข่าวทางทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ ข่าวโซเซียลมีเดีย สื่อออนไลน์ ต่างๆ หวังเพื่อเอาคืนผืนป่ามาให้แผ่นดิน เจอแรงเสียดทานจากสังคมบ้างอะไรบ้าง
ก็ปรับเปลี่ยนกลวิธีเพื่อให้เหมาะสมกับการปฏิบัติต่อคนส่วนใหญ่ และล่าสุดหน่วยงานที่รับผิดชอบหลักเช่นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และหน่วยงานในสังกัดเช่น กรมป่าไม้ กรมอุทยานฯ ก็ยังเดินหน้าอยู่อย่างเข้มข้น
ผู้เขียนหวังว่า
การปฏิบัติที่ดูเหมือนจะเอาจริงเอาจังนี้ ถ้าเปรียบเหมือนเชือก คือการแก้ปม(ป่าไม้) ของ
คสช. ปมนี้ถูกดึงรั้งจนแน่น และนาน
การจะแก้ไม่ใช่เรื่องที่จะใช้เวลาอันรวดเร็วในการแก้ และถ้ามีโอกาสแก้แล้วก็แก้ให้สุด
อย่าแก้ไว้ครึ่งๆ กลางๆ ในอนาคตที่กำลังจะเกิดรัฐบาลที่จะมาจากการเลือกตั้ง หรือรัฐบาลที่มาจากนักการเมืองในเร็วๆนี้ และหากรัฐบาลของนักการเมืองเกิดมีการกระตุกเชือกแรงๆ ปมมันจะแน่นและแก้ยากกว่าเดิม หรือเชือกอาจจะขาดที่ปมนี้ก็เป็นได้
และที่ทำมาทั้งหมดจะเสียเปล่า
และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า..อย่าให้เหมือน “ไฟไหม้ฟาง”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น