วันอังคารที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2560

กรมป่าไม้คุมเข้ม! สั่งยุติการกรีดยางพาราของนายทุนที่รุกเขตป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ อ.นครไทย จ.พิษณุโลก

วันนี้ (15  สิงหาคม  2560)  นายชลธิศ  สุรัสวดี  อธิบดีกรมป่าไม้  พร้อมนายอรรถพล  เจริญชันษา  รองอธิบดีกรมป่าไม้  ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า  และหัวหน้าชุดพยัคฆ์ไพร  นายชีวะภาพ  ชีวะธรรม  ลงพื้นที่ร่วมกับ  กอ.รมน.   ฝ่ายทหาร  องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  และหน่วยงานต่าง ๆ  ที่เกี่ยวข้อง  เพื่อติดตามการปฏิบัติงานเชิงรุกในการบังคับใช้กฎหมาย และการควบคุมการกรีดยางพาราต่อกลุ่มนายทุนที่บุกรุกพื้นที่ปลูกยางพาราในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเขากระยาง  ต.บ้านแยง  อ.นครไทย  จ.พิษณุโลก  พร้อมกับการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับชุมชนถึงมาตรการดังกล่าว 
ซึ่งเป็นไปตามคำสั่ง  คสช.  ที่  64/2557 และ  66/2557  รวมทั้งแผนปฏิบัติการศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า   (ศปก.พป.)   กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  ภายใต้การนำของพลเอก สุรศักดิ์  กาญจนรัตน์  รมว.ทส. 


นายชลธิศ  สุรัสวดี  อธิบดีกรมป่าไม้  เปิดเผยว่า  กรมป่าไม้ลงพื้นที่ปฏิบัติการเชิงรุกในการบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มนายทุนที่บุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อปลูกยางพาราในเขตป่าสงวนแห่งชาติมาตั้งแต่ปี  2558 จากการตรวจสอบพบว่า  ในภาคเหนือมีพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ถึง 32,450,386  ไร่  ถูกบุกรุกเพื่อปลูกยางพาราจำนวน  696,674 ไร่  โดยเฉพาะในจังหวัดพิษณุโลกนั้นแม้จะมีพื้นที่ป่าจำนวน 1,356,493  ไร่ ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าอีกหลายจังหวัดในภูมิภาคเดียวกัน  แต่กลับถูกบุกรุกเพื่อปลูกยางพาราถึง  158,615 ไร่  เมื่อเรานำพื้นที่การปลูกยางพารามาคิดเปรียบเทียบกับสัดส่วนของพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่มีอยู่จะพบว่า  พื้นที่ป่าในจังหวัดพิษณุโลกถูกบุกรุกเพื่อปลูกยางพาราในอัตราสูงที่สุดในภาคเหนือถึงร้อยละ 11.7  โดยคาดว่าเป็นการบุกรุกของกลุ่มนายทุนไม่ต่ำกว่า  30,000 ไร่ 






ทั้งนี้  ได้ดำเนินการตรวจยึดดำเนินคดีแล้วจำนวน  23,173 ไร่  และได้ดำเนินการรื้อถอนตามมาตรา  25 แล้วจำนวน  4,394 ไร่  รวมทั้งดำเนินการปลูกฟื้นฟูป่าในพื้นที่ตัดฟันแล้วจำนวน  3,109 ไร่  สำหรับแปลงที่เข้าดำเนินการในครั้งนี้อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติเขากระยาง  ท้องที่บ้านเกษตรสุข  ม. 5  ต.บ้านแยง  อ.นครไทย  จ.พิษณุโลก  ซึ่งเป็นแปลงของกลุ่มนายทุนที่ได้ดำเนินการตรวจยึดไว้เมื่อวันที่  15 กรกฎาคม  2560  เนื้อที่จำนวน  113 ไร่  

อธิบดีกรมป่าไม้  กล่าวต่อว่า  พื้นที่ที่ได้ดำเนินการตรวจยึดไว้นั้น  นอกจากที่กรมป่าไม้จะเร่งดำเนินการตามมาตรา  25  และปลูกต้นไม้เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศแล้ว  ยังกำหนดมาตรการเชิงรุกในการควบคุมการกรีดยางพาราและการผลิตน้ำยางของกลุ่มนายทุนในเขตป่าสงวนแห่งชาติอีกด้วย  เพื่อปกป้องพื้นที่ป่าไม่ให้ถูกทำลายซ้ำอีก      ผมขอยืนยันว่านโยบายการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลจะใช้ดำเนินการกับกลุ่มนายทุนเท่านั้น  ส่วนประชาชนผู้ยากไร้ที่ไร้ที่ทำกิน  รัฐบาลมีนโยบาลการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน  ซึ่งขณะนี้มีเป้าหมายที่จะจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ  (คทช.)  กว่า 700,000ไร่ ทั่วประเทศ  






ด้านนายอรรถพล  เจริญชันษา  รองอธิบดีกรมป่าไม้  ได้กล่าวย้ำเพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ชุมชนถึงการบังคับใช้กฎหมายของกรมป่าไม้ว่า  ขั้นตอนแรกกรมป่าไม้ต้องตรวจสอบว่าพื้นที่นั้นๆ เข้าข่ายลักษณะนายทุนหรือไม่  โดยใช้หลักเกณฑ์พิจารณาลักษณะการบุกรุกพื้นที่ป่า  7  ข้อด้วยกัน  คือ  
1)  มีเนื้อที่บุกรุกตั้งแต่  25  ไร่ ขึ้นไป 
2)  หากมีขนาดน้อยกว่า  25  ไร่  แต่มีรูปแบบการดำเนินการในลักษณะกลุ่มทุนจากต่างถิ่น  เช่น มีการสร้างบ้านพักตากอากาศราคาแพง  หรือมีวัตถุประสงค์อื่น ๆ ได้แก่  การมุ่งหวังพื้นที่เพื่อพัฒนาเป็นบ้านพักตากอากาศ  โรงแรม  หรือรีสอร์ท  
3)  เป็นเจ้าของสวนยางพาราหลายแปลง  
4)  เจ้าของสวนยางพาราเป็นนายทุนต่างถิ่นมาจ้างแรงงานในพื้นที่หรือคนท้องถิ่นให้ดำเนินการแทน  
5)  สวนยางพารามีขนาดใหญ่  มีสิ่งปลูกสร้างหรือที่พักอาศัยและระบบการจัดการที่มีการลงทุนสูงในรูปแบบเชิงธุรกิจ   
6)  ชาวบ้านในพื้นที่หรือผู้นำท้องถิ่นยืนยันว่าเจ้าของเป็นคนต่างถิ่นและไม่ใช่ผู้ยากไร้/ไร้ที่ทำกิน   และ   
7)  ในกรณีเป็นผู้ยากไร้ต่างถิ่น  แต่มีที่ดินทำกินอยู่ในภูมิลำเนาเดิมเพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ  ดังนั้น  ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้กังวลในมาตรการดังกล่าว




นายชีวะภาพ  ชีวะธรรม  หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจปราบปรามพิเศษ (พยัคฆ์ไพร)  เปิดเผยถึงแผนปฏิบัติการเชิงรุกในการควบคุมการกรีดยางพาราและการผลิตน้ำยางของกลุ่มนายทุนในเขตป่าสงวนแห่งชาติว่า  จะเริ่มจากการสร้างความเข้าใจและความร่วมมือกับชุมชน  เพื่อให้เป็นเครือข่ายแจ้งเบาะแสแก่เจ้าหน้าที่เมื่อเกิดกรณีที่กลุ่มนายทุนหรือบุคคลอื่นใดกลับเข้าไปกรีดยางหรือใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่ได้ตรวจยึดดำเนินคดีไปแล้ว  ไปพร้อม ๆ กับดำเนินการเร่งรัดการตรวจยึดแปลงยางพาราของกลุ่มนายทุนให้ได้ตามเป้าหมาย  และเร่งรัดการดำเนินการรื้อถอนตามมาตรา  25   นอกจากนี้  ยังต้องเร่งดำเนินการปลูกพื้นฟูป่าให้ฟื้นคืนสภาพของความเป็นป่าโดยเร็ว






หัวหน้าชุดพยัคฆ์ไพร  กล่าวถึงพื้นที่แปลงยางพาราที่ได้ดำเนินการตามมาตรา  25  ซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าวังทองฝังซ้าย  ท้องที่บ้านตอเรือ  ม.13  ต.วังนกแอ่น  อ.วังทอง  จ.พิษณุโลก  ว่า  มีพื้นที่รวมจำนวน  1,171 ไร่ แบ่งเป็น  3  แปลง  ประกอบด้วย  1)  แปลง  287.38  ไร่ ตรวจยึดตามคดีที่  383/2550  ลงวันที่  3  ธันวาคม  2550 ดำเนินการรื้อถอนตามมาตรา  25  เมื่อระหว่าง  4 - 9  มิถุนายน  2558  2)  แปลง  94  ไร่  ตรวจยึดตามคดีที่  40/2550   ลงวันที่  20  พฤศจิกายน  2550  ดำเนินการรื้อถอนตามมาตรา  25  เมื่อระหว่าง  12 - 18  สิงหาคม  2558  และ  3) แปลง  790.33  ไร่  ตรวจยึดตามคดีที่  822/2556  ลงวันที่  12  กันยายน  2556  ดำเนินการรื้อถอนเมื่อระหว่าง  12 18  สิงหาคม  2558   ทั้งนี้  ได้ดำเนินการปลูกพื้นฟูไปแล้วจำนวน 1,150 ไร่  ซึ่งขณะนี้ต้นไม้ที่ปลูกไว้ได้เจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว  ส่งผลให้ระบบนิเวศน์โดยรอบกลับมาฟื้นคืนความสมบูรณ์อีกครั้ง.

ไม่มีความคิดเห็น:

โพสต์แนะนำ

พบเห็น !! การบุกรุกตัดไม้ทำลายป่า โปรดแจ้งสายด่วน ชุด ฉก.พญาเสือ โทร. 097-281-6363

พบเห็นการบุกรุกตัดไม้ทำลายป่า โปรดแจ้งสายด่วน  ชุดเฉพาะกิจปฏิบัติการพิเศษผู้พิทักษ์อุ...