วันนี้ (15 สิงหาคม
2560) นายชลธิศ สุรัสวดี
อธิบดีกรมป่าไม้
พร้อมนายอรรถพล เจริญชันษา รองอธิบดีกรมป่าไม้ ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า และหัวหน้าชุดพยัคฆ์ไพร นายชีวะภาพ
ชีวะธรรม ลงพื้นที่ร่วมกับ กอ.รมน.
ฝ่ายทหาร
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
และหน่วยงานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อติดตามการปฏิบัติงานเชิงรุกในการบังคับใช้กฎหมาย และการควบคุมการกรีดยางพาราต่อกลุ่มนายทุนที่บุกรุกพื้นที่ปลูกยางพาราในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเขากระยาง ต.บ้านแยง
อ.นครไทย จ.พิษณุโลก พร้อมกับการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับชุมชนถึงมาตรการดังกล่าว
ซึ่งเป็นไปตามคำสั่ง คสช.
ที่ 64/2557 และ 66/2557
รวมทั้งแผนปฏิบัติการศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า (ศปก.พป.)
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ภายใต้การนำของพลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทส.
นายชลธิศ สุรัสวดี
อธิบดีกรมป่าไม้ เปิดเผยว่า
กรมป่าไม้ลงพื้นที่ปฏิบัติการเชิงรุกในการบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มนายทุนที่บุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อปลูกยางพาราในเขตป่าสงวนแห่งชาติมาตั้งแต่ปี 2558 จากการตรวจสอบพบว่า
ในภาคเหนือมีพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ถึง
32,450,386 ไร่ ถูกบุกรุกเพื่อปลูกยางพาราจำนวน 696,674 ไร่
โดยเฉพาะในจังหวัดพิษณุโลกนั้นแม้จะมีพื้นที่ป่าจำนวน 1,356,493 ไร่
ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าอีกหลายจังหวัดในภูมิภาคเดียวกัน แต่กลับถูกบุกรุกเพื่อปลูกยางพาราถึง 158,615 ไร่
เมื่อเรานำพื้นที่การปลูกยางพารามาคิดเปรียบเทียบกับสัดส่วนของพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่มีอยู่จะพบว่า
พื้นที่ป่าในจังหวัดพิษณุโลกถูกบุกรุกเพื่อปลูกยางพาราในอัตราสูงที่สุดในภาคเหนือถึงร้อยละ
11.7 โดยคาดว่าเป็นการบุกรุกของกลุ่มนายทุนไม่ต่ำกว่า 30,000 ไร่
ทั้งนี้ ได้ดำเนินการตรวจยึดดำเนินคดีแล้วจำนวน 23,173 ไร่
และได้ดำเนินการรื้อถอนตามมาตรา 25
แล้วจำนวน 4,394 ไร่
รวมทั้งดำเนินการปลูกฟื้นฟูป่าในพื้นที่ตัดฟันแล้วจำนวน 3,109 ไร่
สำหรับแปลงที่เข้าดำเนินการในครั้งนี้อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติเขากระยาง ท้องที่บ้านเกษตรสุข ม. 5
ต.บ้านแยง อ.นครไทย จ.พิษณุโลก
ซึ่งเป็นแปลงของกลุ่มนายทุนที่ได้ดำเนินการตรวจยึดไว้เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม
2560 เนื้อที่จำนวน 113 ไร่
อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวต่อว่า
พื้นที่ที่ได้ดำเนินการตรวจยึดไว้นั้น
นอกจากที่กรมป่าไม้จะเร่งดำเนินการตามมาตรา 25
และปลูกต้นไม้เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศแล้ว
ยังกำหนดมาตรการเชิงรุกในการควบคุมการกรีดยางพาราและการผลิตน้ำยางของกลุ่มนายทุนในเขตป่าสงวนแห่งชาติอีกด้วย
เพื่อปกป้องพื้นที่ป่าไม่ให้ถูกทำลายซ้ำอีก ผมขอยืนยันว่านโยบายการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลจะใช้ดำเนินการกับกลุ่มนายทุนเท่านั้น ส่วนประชาชนผู้ยากไร้ที่ไร้ที่ทำกิน รัฐบาลมีนโยบาลการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน
ซึ่งขณะนี้มีเป้าหมายที่จะจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.)
กว่า 700,000ไร่ ทั่วประเทศ
ด้านนายอรรถพล เจริญชันษา
รองอธิบดีกรมป่าไม้
ได้กล่าวย้ำเพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ชุมชนถึงการบังคับใช้กฎหมายของกรมป่าไม้ว่า ขั้นตอนแรกกรมป่าไม้ต้องตรวจสอบว่าพื้นที่นั้นๆ
เข้าข่ายลักษณะนายทุนหรือไม่
โดยใช้หลักเกณฑ์พิจารณาลักษณะการบุกรุกพื้นที่ป่า 7
ข้อด้วยกัน คือ
1) มีเนื้อที่บุกรุกตั้งแต่ 25 ไร่ ขึ้นไป
2) หากมีขนาดน้อยกว่า 25 ไร่ แต่มีรูปแบบการดำเนินการในลักษณะกลุ่มทุนจากต่างถิ่น เช่น มีการสร้างบ้านพักตากอากาศราคาแพง หรือมีวัตถุประสงค์อื่น ๆ ได้แก่ การมุ่งหวังพื้นที่เพื่อพัฒนาเป็นบ้านพักตากอากาศ โรงแรม หรือรีสอร์ท
3) เป็นเจ้าของสวนยางพาราหลายแปลง
4) เจ้าของสวนยางพาราเป็นนายทุนต่างถิ่นมาจ้างแรงงานในพื้นที่หรือคนท้องถิ่นให้ดำเนินการแทน
5) สวนยางพารามีขนาดใหญ่ มีสิ่งปลูกสร้างหรือที่พักอาศัยและระบบการจัดการที่มีการลงทุนสูงในรูปแบบเชิงธุรกิจ
6) ชาวบ้านในพื้นที่หรือผู้นำท้องถิ่นยืนยันว่าเจ้าของเป็นคนต่างถิ่นและไม่ใช่ผู้ยากไร้/ไร้ที่ทำกิน และ
7) ในกรณีเป็นผู้ยากไร้ต่างถิ่น แต่มีที่ดินทำกินอยู่ในภูมิลำเนาเดิมเพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ ดังนั้น ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้กังวลในมาตรการดังกล่าว
1) มีเนื้อที่บุกรุกตั้งแต่ 25 ไร่ ขึ้นไป
2) หากมีขนาดน้อยกว่า 25 ไร่ แต่มีรูปแบบการดำเนินการในลักษณะกลุ่มทุนจากต่างถิ่น เช่น มีการสร้างบ้านพักตากอากาศราคาแพง หรือมีวัตถุประสงค์อื่น ๆ ได้แก่ การมุ่งหวังพื้นที่เพื่อพัฒนาเป็นบ้านพักตากอากาศ โรงแรม หรือรีสอร์ท
3) เป็นเจ้าของสวนยางพาราหลายแปลง
4) เจ้าของสวนยางพาราเป็นนายทุนต่างถิ่นมาจ้างแรงงานในพื้นที่หรือคนท้องถิ่นให้ดำเนินการแทน
5) สวนยางพารามีขนาดใหญ่ มีสิ่งปลูกสร้างหรือที่พักอาศัยและระบบการจัดการที่มีการลงทุนสูงในรูปแบบเชิงธุรกิจ
6) ชาวบ้านในพื้นที่หรือผู้นำท้องถิ่นยืนยันว่าเจ้าของเป็นคนต่างถิ่นและไม่ใช่ผู้ยากไร้/ไร้ที่ทำกิน และ
7) ในกรณีเป็นผู้ยากไร้ต่างถิ่น แต่มีที่ดินทำกินอยู่ในภูมิลำเนาเดิมเพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ ดังนั้น ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้กังวลในมาตรการดังกล่าว
หัวหน้าชุดพยัคฆ์ไพร กล่าวถึงพื้นที่แปลงยางพาราที่ได้ดำเนินการตามมาตรา 25
ซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าวังทองฝังซ้าย ท้องที่บ้านตอเรือ ม.13
ต.วังนกแอ่น อ.วังทอง จ.พิษณุโลก
ว่า มีพื้นที่รวมจำนวน 1,171
ไร่ แบ่งเป็น 3 แปลง
ประกอบด้วย 1) แปลง
287.38 ไร่ ตรวจยึดตามคดีที่ 383/2550
ลงวันที่ 3 ธันวาคม
2550 ดำเนินการรื้อถอนตามมาตรา
25 เมื่อระหว่าง 4 - 9
มิถุนายน 2558 2)
แปลง 94 ไร่ ตรวจยึดตามคดีที่ 40/2550
ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน
2550
ดำเนินการรื้อถอนตามมาตรา 25 เมื่อระหว่าง
12 - 18 สิงหาคม 2558
และ 3) แปลง 790.33
ไร่ ตรวจยึดตามคดีที่ 822/2556
ลงวันที่ 12 กันยายน
2556 ดำเนินการรื้อถอนเมื่อระหว่าง 12 – 18 สิงหาคม
2558 ทั้งนี้ ได้ดำเนินการปลูกพื้นฟูไปแล้วจำนวน 1,150 ไร่
ซึ่งขณะนี้ต้นไม้ที่ปลูกไว้ได้เจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ส่งผลให้ระบบนิเวศน์โดยรอบกลับมาฟื้นคืนความสมบูรณ์อีกครั้ง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น