ผนึกกำลัง 3 กรม "ป่าไม้-อุทยานฯ-ชายฝั่ง" รวมพลังพยัคฆ์ไพร-พญาเสือ-ฉลามขาว กวาดล้างผู้บงการ/มีอิทธิพล

กระทรวงทรัพย์เดินหน้าตั้ง "ศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า" ผนึกกำลัง 3 กรม "ป่าไม้-อุทยานฯ-ชายฝั่ง" รวมพลังพยัคฆ์ไพร-พญาเสือ-ฉลามขาว กวาดล้างผู้บงการ/มีอิทธิพล-หยุดขบวนการผลาญป่า เผยสำนักข่าวกรองฯพร้อมร่วมมือสแกนทุกจังหวัด ลิสต์รายชื่อส่งตำรวจ

พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวว่า 
ปฏิบัติการทวงคืนผืนป่าตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2557 จนถึงปัจจุบันผลปรากฏว่าสามารถหยุดยั้งการบุกรุกป่าไว้ได้อย่างสมบูรณ์ แต่จากการศึกษาผ่านมา 2 ปีพบว่า การแก้ปัญหาการบุกรุกตัดไม้ทำลายป่านั้น ทำได้เมื่อป่าไม้ถูกตัดแล้วเท่านั้น ไม้ที่จับได้นำมากองไว้ แถมยังต้องเลี้ยงดูคนผิดที่อยู่ในคุกอีก แต่ไม่สามารถเอาผิดผู้บงการ หรือผู้จ้างวานที่อยู่นอกพื้นที่เลย เพราะไม่รู้จะนำกฎหมายฉบับใดไปจัดการ ทำให้การรักษาป่าเกิดความลำบากมาก

"ตั้งแต่จบมารับราชการปี 2519 ไปรบที่นราธิวาส ควบคู่กับการจับไม้เถื่อน ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ปี 2559 เป็นเวลา 40 ปีแล้ว ยังไม่สามารถหยุดยั้งขบวนการอย่างนี้ได้ เมื่อมานั่งวิเคราะห์และถามผู้รู้ทั้งผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ ก็ทราบว่าการที่ผู้จ้างวานอยู่นอกพื้นที่ไม่รู้จะเอากฎหมายอะไรมาจับ วันนี้จึงจะตั้งศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่าขึ้นมา"

สำหรับศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่านั้นมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้อำนวยการ และอธิบดี 3 กรม ได้แก่ กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นรองผู้อำนวยการศูนย์ นอกจากนี้ จะมีผู้อำนวยการสำนักป้องกันทั้ง 3 กรมมาร่วม และมีหัวหน้าชุดพยัคฆ์ไพร พญาเสือ ฉลามขาว มาร่วมกันทำงานด้วย

พลเอกสุรศักดิ์กล่าวว่า หน้าที่ของศูนย์มี 2 เรื่องหลัก คือ 1.คุมงานที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบันให้มีเอกภาพและทิศทางเดียวกัน เพราะนอกจาก 3 กรมหลักแล้วยังมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เข้ามาร่วมด้วย

และ 2.ลักษณะงานของศูนย์นี้จะเป็นงานลับ หรือลับมาก ต้องมีการเชื่อมโยงเครือข่ายผู้กระทำผิดทั้งหมดในระดับผู้จ้างวาน และผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย เป็นลักษณะเดียวกับงานยาเสพติดที่มีขบวนการค้ากับผู้บงการ โดยศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่าจะเน้นการเจาะลึกข้อมูลด้านนี้มากขึ้น เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจน

"เราไม่ได้ทำงานที่นอกเหนืออำนาจ เพราะไม่ได้ไปจับกุมเอง เพียงแต่เราเป็นต้นเรื่องในการทำบัญชีรายชื่อเครือข่ายผู้บงการ และจ้างวานให้มีการตัดไม้และบุกรุกป่า ซึ่งผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติก็บอกว่า พร้อมที่จะใช้ศักยภาพเพื่อช่วยรักษาทรัพย์ของแผ่นดิน รักษาป่าไม้เพิ่มจากที่เราทำอยู่ทุกวันนี้มันน่าจะดีขึ้น"

พลเอกสุรศักดิ์กล่าวว่า ศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่าจะเริ่มดำเนินการทันทีโดยจะเปิดพื้นที่ 77 จังหวัด ลิสต์รายชื่อแต่ละจังหวัดแล้วให้หน่วยข่าวทั้งของทหาร ตำรวจ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ไปดำเนินการสืบสวนว่าคนเหล่านี้มีพฤติกรรมเชื่อมโยงจริงหรือไม่ ถ้ามีข้อมูลเพียงพอก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยหวังว่าสิ่งที่ทำนี้จะเกิดคุณประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง

จับบุกรุกป่า - ปัจจุบันการบุกจับผู้บุกรุกป่า ลักลอบตัดไม้ ทำได้เพียงผู้บุกรุกในป่าเท่านั้น ล่าสุดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เตรียมจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า รวม 3 กรม ประสานพลังเพื่อสาวถึงตัวการใหญ่แล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การทวงคืนผืนป่าที่ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 17 มิ.ย. 2557 นั้น สามารถดำเนินการทวงคืนได้แล้วทั้งสิ้นกว่า 280,000 ไร่ จากเป้าหมายที่ต้องการเพิ่มพื้นที่ป่าของประเทศให้ได้ร้อยละ 40 หรือประมาณ 128 ล้านไร่ จากเดิมร้อยละ 31.5 หรือประมาณ 102 ล้านไร่ โดยเฉพาะในปี 2558 กรมป่าไม้สามารถทวงคืนได้ 175,209 ไร่ ขณะที่กรมอุทยานฯทวงคืนได้ 34,144 ไร่

พลเอกสุรศักดิ์กล่าวอีกว่า ขณะที่การปฏิบัติการทวงคืนผืนป่าดำเนินอยู่นั้น ก็จะมีการจัดสรรที่ดินให้ราษฎรผู้ยากไร้เป็นงานคู่ขนานไปด้วย โดยมีเป้าหมาย 47 จังหวัด 80 พื้นที่ เนื้อที่ประมาณ 350,000 ไร่ ซึ่งได้ดำเนินการไปเรียบร้อยแล้ว 4-5 จังหวัด

และอีกหลายจังหวัดกำลังเดินหน้าอยู่ เพราะเป็นงานที่ต้องละเอียดรอบคอบ เนื่องจากมีประเด็นว่าที่ผ่านมาเมื่อมีการจัดสรรในลักษณะนี้ แต่ผู้ยากไร้กลับขายให้นายทุนหมด ดังนั้นการจัดสรรที่ครั้งใหม่ต้องละเอียดรอบคอบมากขึ้น

ด้านนายชลธิศ สุรัสวดี อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวว่า จากปฏิบัติการยึดคืนผืนป่า และหยุดยั้งการบุกรุก ชัดเจนว่าพื้นที่ป่า 102.2-102.4 ล้านไร่ ไม่มีการลดลงแน่นอน นอกจากนี้ยังมีนโยบายเพิ่มพื้นที่ป่า โดยจะใช้วันวิสาขบูชา ซึ่งมติ ครม.ปี 2532 กำหนดให้เป็นวันต้นไม้ ใช้พื้นที่ที่ยึดคืนมาในช่วงปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งส่วนมากเป็นสวนยางของนายทุน จะใช้พื้นที่ดังกล่าวประมาณ 1 พันกว่าไร่ จัดกิจกรรมปลูกต้นไม้ โดยจะทำพร้อม ๆกันทั่วประเทศ ถือเป็นกลยุทธ์หนึ่งในการเพิ่มพื้นที่ป่า

ขอขอบคุณที่มา ..ประชาชาติธุรกิจ http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1463341343 แสดงความคิดเห็นกรุณาใช้คำสุภาพ ขอบคุณครับ