ป่าพรุโต๊ะแดง จ.นราธิวาส
ซึ่งป่าพรุแห่งนี้ เป็นที่ตั้งของ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ป่าพรุโต๊ะแดง หรือ
ป่าพรุสิรินธร เป็นป่าพรุที่มีเนื้อที่มากที่สุด ที่ยังเหลืออยู่ในประเทศไทย
เนื้อที่ของป่ามีความกว้างประมาณ 8 กิโลเมตร และมีความยาวประมาณ 28 กิโลเมตร
มีพื้นที่ครอบคลุมอาณาเขตของอำเภอตากใบ อำเภอสุไหงปาดี อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอเจาะไอร้อง
และอำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส
คิดเป็นเนื้อที่กว่า 125,625 ไร่
(แต่ส่วนที่สมบูรณ์จริง ๆ มีประมาณ 50,000 ไร่) มีแหล่งน้ำสำคัญ 3 สายไหลผ่าน คือ แม่น้ำบางนรา,
คลองสุไหงปาดี และคลองโต๊ะแดง
ผืนป่าพรุแห่งนี้เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของพืช และสัตว์ป่าหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งหลายชนิดอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ และพื้นที่รอบ ๆ ป่า ก็เป็นพื้นที่เพาะปลูกข้าว
ยาง และผลไม้ต่าง ๆ โดยมีศูนย์วิจัยและศึกษาพันธุ์ป่าพรุสิรินธร ซึ่งตั้งอยู่ ณ
ตำบลปาเสมัส อำเภอสุไหงโกลก ใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองสุไหงโกลก
ผ่านทางหลวงสายสุไหงโกลก - ตากใบ แล้วเลี้ยวซ้ายตรงแยกชวนันท์ ด้วยระยะทางประมาณ
10 กิโลเมตรจากตัวเมืองสุไหงโกลก เดินศึกษาธรรมชาติยาวกว่า 1,200 เมตร
ภายในศูนย์ฯมีเส้นทางเดินศึกษาความอุดมสมบูรณ์ของป่าผ่าใจกลางป่าพรุ มีหอคอย
และศูนย์บริการข้อมูล ตลอดจนซุ้มแสดงประวัติและข้อมูลของพืชพันธุ์ และสัตว์ป่าต่าง
ๆ ในพื้นที่ป่าพรุโดยรอบ ใช้เวลาเดินประมาณ 45 - 60 นาที
ซึ่งผืนป่าพรุแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นป่าพรุที่มีลักษณะพันธุ์ไม้ และสัตว์ป่าต่าง ๆ คล้ายกับที่มีอยู่ในพื้นที่ป่าพรุที่ประเทศอินโดนีเซีย
ที่ได้เกิดไฟไหม้ไปอย่างรุนแรงใน ปี 58 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นข่าวดังไปทั่วโลก และหลายประเทศได้รับผลกระทบจากการเกิดไฟป่าอินโดนีเซียในครั้งนั้น และรู้หรือไม่ว่า พื้นที่ป่าพรุของอินโดนีเซีย และป่าพรุที่มีอยู่กระจัดกระจายทั่วโลก รวมไปถึงที่มีอยู่ในประเทศไทยเราด้วย อย่างป่าพรุโต๊ะแดง คือเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ ที่มากที่สุดในโลก ตัวอย่างป่าพรุในอินโดนีเซียนั้นกว้างใหญ่มหาศาล กักเก็บคาร์บอนในปริมาณ 35 พันล้านตัน แต่ในเมื่อมีการระบายน้ำออกจากป่าพรุ เผาป่า และปลูกต้นอาคาเซีย ยูคาลิปตัส และเป็นสวนปาล์มน้ำมัน จากเคยเป็นที่ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ก็จะกลายเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์แทน ซึ่งคาร์บอนฯ เหล่านี้มาจากไหน ก็มาจากเหล่ามนุษย์โลกทั้งหลายเป็นก่อให้เกิด หากไม่มีป่าไม้ หรือพื้นที่ป่าพรุเหล่านี้ มนุษย์สัตว์ประเสริฐทั้งหลาย คงไม่เหลืออยู่ให้รบกวนธรรมชาติไปนานแล้ว
ซึ่งปกติแล้วพื้นที่ป่าพรุนั้นจะมีน้ำขังตลอดปี แต่หากปีไหนฝนทิ้งช่วงยาวนาน ก็จะทำให้น้ำที่มีอยู่ในพื้นที่ป่าพรุแห้ง และเศษซากพืชซากสัตว์ที่ทับถมอยู่ในขณะที่ที่มีน้ำอยู่ก็จะกลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีเลย
และขณะนี้ป่าพรุโต๊ะแดงกำลังถูกไฟไหม้อย่างหนัก และยังไม่ดับ นาทีนี้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็ยังต้องทำงานกันจนไม่เวลา
ซึ่งในการดับไฟป่าพรุนั้นเป็นอะไรที่ยากมาก และต้องใช้งบประมาณมากที่สุดในบรรดากิจกรรมการควบคุมไฟป่า เปลวไฟอาจจะดูไม่รุนแรงมากนัก แต่การดับไฟป่าพรุต้องใช้น้ำในการดับ ซึ่งจะต่างกับไฟป่าชนิดอื่น ๆ เพราะสามารถดับด้วยวิธีการอื่นได้ เช่นไฟป่าผิวดิน หรือไฟป่าที่เกิดขึ้นในป่าทั่ว ๆ ไป ซึ่งสามารถดับด้วยการใช้ไม้ตบไฟได้ ในการดับไฟบางพื้นที่ ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำก็สามารถดับไฟได้ แต่ในป่าพรุจำเป็นต้องใช้น้ำในการดับ แต่จะหาแหล่งน้ำแทบไม่ได้ จำเป็นต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ หรือเครื่องบินในการขนน้ำมาดับไฟป่าพรุ
ซึ่งขณะนี้ที่พอจะทำได้ก็คือ ทำแนวกันไฟเพื่อสะกัดกั้น และป้องกันให้ไฟนั้น ลุกลามอยู่ในวงจำกัด และอาศัยเครื่องบินสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ในการทิ้งน้ำดับไฟ แต่ก็เป็นเพียงแค่การชะลอของไฟป่าพรุเท่านั้น และต้องใช้งบประมาณไม่น้อย ในการดับๆไฟด้วยวิธีนี้ แต่ก็จำเป็นอย่างมาก เพราะการเข้าไปดับไฟในพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินนั้น ลำบากยากเข็ญไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะการเดินเท้านั้นกว่าจะเข้าถึงพื้นที่เกิดไฟบางจุด ต้องเดินเท้าเข้าไปเป็น 3-4 กม. และที่สำคัญควันไฟในป่าพรุนั้น มีมากจนและคละคลุ้งไปทั่วพื้นที่ป่า ซึ่งลำบากในการหายใจ
ซึ่งเจ้าหน้าที่ดับไฟป่าเหล่านี้ ต้องเจอกับปัญหาสารพัด เช่นเรื่องการเปลี่ยนทิศทางของกระแสลม อากาศที่ร้อนอบอ้าวด้วยจากสภาพอากาศ และจากไฟป่าที่ปะทุอยู่ตลอดเวลา กลุ่มควันที่มีอยู่เกือบทุกอณูของพื้นที่ป่า ซึ่งแทบจะหาอากาศที่บริสุทธิ์สูดเข้าไปในปอดไม่ได้เลย และรู้หรือไม่ ? ว่า.. ควันที่มีอยู่ในป่าพรุนั้น มันเป็นควันไฟที่ทรมานเอามาก ๆ เพราะมันจะมีกลิ่นฉุนมาก และทำให้แสบตา แสบจมูก เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจอย่างรุนแรง ซึ่งหากฝนไม่เทลงมา ยากมากที่จะดับไฟป่าพรุได้
ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากเว็บไซต์ "วิกิพีเดีย"
และขอขอบคุณภาพประกอบจากมุมสูง จากเฟสบุ๊คที่ใช้ชื่อว่า "Weerachai Pengmark" ซึ่งท่านนี้เป็นนักบินสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่เวลานี้ และขอบคุณภาพจากเจ้าหน้าที่ดับไฟป่าที่กำลังปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ มา ณ โอกาสนี้
และขอเป็นกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในเวลานี้ "พิราบขาวนิวส์" ข่าวเพื่อ..ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วยครับ
ซึ่งขณะนี้ที่พอจะทำได้ก็คือ ทำแนวกันไฟเพื่อสะกัดกั้น และป้องกันให้ไฟนั้น ลุกลามอยู่ในวงจำกัด และอาศัยเครื่องบินสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ในการทิ้งน้ำดับไฟ แต่ก็เป็นเพียงแค่การชะลอของไฟป่าพรุเท่านั้น และต้องใช้งบประมาณไม่น้อย ในการดับๆไฟด้วยวิธีนี้ แต่ก็จำเป็นอย่างมาก เพราะการเข้าไปดับไฟในพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินนั้น ลำบากยากเข็ญไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะการเดินเท้านั้นกว่าจะเข้าถึงพื้นที่เกิดไฟบางจุด ต้องเดินเท้าเข้าไปเป็น 3-4 กม. และที่สำคัญควันไฟในป่าพรุนั้น มีมากจนและคละคลุ้งไปทั่วพื้นที่ป่า ซึ่งลำบากในการหายใจ
ซึ่งเจ้าหน้าที่ดับไฟป่าเหล่านี้ ต้องเจอกับปัญหาสารพัด เช่นเรื่องการเปลี่ยนทิศทางของกระแสลม อากาศที่ร้อนอบอ้าวด้วยจากสภาพอากาศ และจากไฟป่าที่ปะทุอยู่ตลอดเวลา กลุ่มควันที่มีอยู่เกือบทุกอณูของพื้นที่ป่า ซึ่งแทบจะหาอากาศที่บริสุทธิ์สูดเข้าไปในปอดไม่ได้เลย และรู้หรือไม่ ? ว่า.. ควันที่มีอยู่ในป่าพรุนั้น มันเป็นควันไฟที่ทรมานเอามาก ๆ เพราะมันจะมีกลิ่นฉุนมาก และทำให้แสบตา แสบจมูก เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจอย่างรุนแรง ซึ่งหากฝนไม่เทลงมา ยากมากที่จะดับไฟป่าพรุได้
ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากเว็บไซต์ "วิกิพีเดีย"
และขอขอบคุณภาพประกอบจากมุมสูง จากเฟสบุ๊คที่ใช้ชื่อว่า "Weerachai Pengmark" ซึ่งท่านนี้เป็นนักบินสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่เวลานี้ และขอบคุณภาพจากเจ้าหน้าที่ดับไฟป่าที่กำลังปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ มา ณ โอกาสนี้
และขอเป็นกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในเวลานี้ "พิราบขาวนิวส์" ข่าวเพื่อ..ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น