บิ๊กเต่าสั่งคุมเข้มสวนยางของนายทุนที่ผิดกฎหมาย
หลังชุดพยัคฆ์ไพรตรวจพบมีการจ้างชาวบ้านนอกพื้นที่เข้ามาหาผลประโยชน์
พร้อมประสานผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด
แจ้งผู้นำท้องถิ่นช่วยตรวจตราร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้
ศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า (ศปก.พป.)
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำโดยนายอรรถพล เจริญชันษา
รองอธิบดีกรมป่าไม้พร้อมด้วยนายชีวะภาพ ชีวะธรรม หัวหน้าชุดพยัคฆ์ไพร
สนธิกำลังศูนย์การประสานการปฏิบัติที่ 4
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ศปป.4 กอ.รมน.) นำโดย พันเอกพงษ์เพชร
เกษสุภะ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบสวนยางพาราของนายทุนรายใหญ่
ในเขตพื้นที่ ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าภูเปือย ป่าภูขี้เถ้า และป่าภูเรือ
ท้องที่ตำบลศิลา อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ หลังชุดการข่าวแจ้งว่า
มีบุคคลเข้ามาลักลอบกรีดยางพารา
ทั้งที่สวนยางดังกล่าวถูกเจ้าหน้าที่แจ้งความดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้
ปฏิบัติการครั้งนี้เป้าหมายคือสวนยางหลังบ้านหนองเขียว
เนื้อที่หลายร้อยไร่บนเนินเขาที่มีความสูงชัน
จากการตรวจสอบเจ้าหน้าที่พบแคมป์คนงาน 5 หลัง ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นของนายสุริน
สีหสกุล ชาวอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา เจ้าหน้าที่จึงขอเข้าตรวจค้นภายในที่พัก
พบเลื่อยโซ่ยนต์ 1เครื่อง พร้อมอาวุธปืนไทยประดิษฐ์อีก 3 กระบอกบริเวณที่นอน
แต่เมื่อตรวจสอบโดยละเอียดพบอุปกรณ์การทำสวนยางภายในโรงเก็บของหลายรายการ
เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งความดำเนินคดีฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปี 2490
และเปลี่ยนแปลงพื้นที่ให้มีหรือใช้เลื้อยโซ่ยนต์แตกต่างจากใบอนุญาต
ตามพระราชบัญญัติเลื่อยโซ่ยนต์ปี 2545 พร้อมนำตัวไปสอบสวนเพิ่มเติม
ซึ่งจากข้อมูลเชิงลึกพบว่า นายสุรินเป็นลูกน้องคนสนิทของเสี่ยยุทธเจ้าของสวนยางอีกด้วย
นายอรรถพล เจริญชันษา เปิดเผยว่า ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
หลังจากการยางแห่งประเทศไทยได้ประสานความร่วมมือขอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ควบคุมผลผลิตยางพาราในเขตป่า ทำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ได้สั่งการให้ศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า
เข้มงวดในการตรวจสอบสวนยางพาของนายทุนที่ผิดกฎหมายร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
หลังจากพบข้อมูลว่า กลุ่มทุนที่ถูกดำเนินคดีมีความพยายามเข้ามาหาผลประโยชน์จากสวนยางที่ผิดกฎหมาย
โดยใช้วิธีการจ้างคนงานต่างพื้นที่เข้ามากีดน้ำยาง ขณะเดียวกันศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่าได้ประสานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด
ร่วมถึงกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรภาค 1 - 4
และศูนย์การประสานการปฏิบัติที่ 4 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้
เฝ้าตรวจตราไม่ให้มีการเข้าไปกรีดยางในสวนยางของนายทุกที่ถูกดำเนินคดี
จากข้อมูลของกรมป่าไม้พบว่า
มีสวนยางประมาณ 30 ล้านไร่ อยู่ในเขตป่าไม้ 8.5 ล้านไร่ โดยอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
5.2 ล้านไร่ คาดว่าเป็นของนายทุนประมาณ 1.2 ล้านไร่ ยึดคืนได้ 150,000 ไร่
ซึ่งจะมีน้ำยาง 360,000 ตัน/ไร่/ปี ที่จะควบคุมไม่ให้ออกสู่ตลาด
ขณะที่จังหวัดเพชรบูรณ์ที่เข้าดำเนินการวันนี้
มีสวนยางพาราในเขตป่าทั้งหมดกว่า 60,000 ไร่ สามารถทวงคืนได้ 23,000 ไร่ มีน้ำยาง
5.8 ตัน/ไร่/ปี ที่จะควบคุมไม่ให้ออกสู่ตลาด
นอกจากนี้ในอนาคต
กรมป่าไม้มีแนวคิดจะนำพื้นที่สวนยางพาราของนายทุนที่ยึดได้
เปิดโอกาสให้ชุมชนในพื้นที่ใช้ประโยชน์ในรูปแบบป่าชุมชน หรือใช้ประโยชน์ในรูปแบบสหกรณ์ชุมชน
หรือจะนำมาเป็นพื้นที่ป่าดังเดิม ส่วนในพื้นที่ป่าต้นน้ำชั้น 1 ชั้น 2
จะต้องควบคุมโดยเปลี่ยนจากสวนยางพาราที่เป็นพืชเชิงเดียว ให้เป็นป่าแบบผสมผสาน
เพื่อให้ป่าต้นน้ำมีความสมดุลในเรื่องการอนุรักษ์ดินและน้ำ
ไม่ใช่สวนยางเพียงอย่างเดียวเท่านั้น.
ขอขอบคุณที่มาข้อมูล ..นายชีวะภาพ ชีวะธรรม หัวหน้าชุดพยัคฆ์ไพร
กรมป่าไม้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น